ตลาดหุ้นนิวยอร์กอ่อนตัวลงในวันนี้ หลังจากดีดตัวขึ้นติดต่อกัน 6 วัน ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ และความคืบหน้าในการจัดตั้งคณะรัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายรายในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ณ เวลา 21.42 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 18,829.34 จุด ลดลง 36.30 จุด หรือ 0.18%
หุ้นโกลด์แมน แซคส์ และโฮม ดีโปท์ดิ่งลงฉุดตลาดมากที่สุดในวันนี้
หุ้นกลุ่มการเงินร่วงลงในวันนี้ ขณะที่กลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นสวนทางตลาด จากการทะยานขึ้นของราคาน้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ทะยานขึ้นมากกว่า 3% ในวันนี้ ขณะที่ฟื้นตัวขึ้นจากที่ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือน โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะสามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิตในการประชุมปลายเดือนนี้
ณ เวลา 19.53 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนธ.ค. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX เพิ่มขึ้น 1.33 ดอลลาร์ หรือ 3.07% สู่ระดับ 44.65 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ ในการประชุมที่กรุงอัลเจียร์ในวันที่ 28 ก.ย. โอเปกตกลงที่จะปรับลดกำลังการผลิตสู่ระดับ 32.50-33.0 ล้านบาร์เรล/วัน โดยจะมีการสรุปโควตาของแต่ละประเทศในการประชุมวันที่ 30 พ.ย.
นักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ระบุว่าอิรัก และอิหร่านกำลังพิจารณาการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์ค รายงานวันนี้ว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) มีการขยายตัวในเดือนพ.ย. หลังจากหดตัวติดต่อกัน 3 เดือน ขณะที่คำสั่งซื้อใหม่ และการขนส่งปรับตัวขึ้น แต่การจ้างงานลดลง
ทั้งนี้ ดัชนีภาคการผลิตเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.5 ในเดือนพ.ย. จากระดับ -6.8 ในเดือนต.ค.
ดัชนีที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 0 บ่งชี้ภาวะหดตัว ขณะที่เหนือระดับ 0 บ่งชี้ถึงภาวะขยายตัว
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากปรับตัวขึ้น 1.0% ในเดือนก.ย.
การเพิ่มขึ้นของยอดค้าปลีกในเดือนก.ย.และต.ค.รวมกันทำสถิติเพิ่มขึ้นมากที่สุดสำหรับช่วง 2 เดือนนับตั้งแต่ต้นปี 2014
ยอดค้าปลีกได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ และวัสดุก่อสร้างสำหรับการซ่อมแซมบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากพายุเฮอร์ริเคนแมทธิว
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนต.ค.
เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 4.3% ในเดือนต.ค.
ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร พุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนต.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกพื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค.
ตัวเลขยอดค้าปลีกดังกล่าวจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.
นายเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟด สาขาบอสตัน กล่าวว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า โดยมีเพียงข่าวร้ายครั้งใหญ่เท่านั้น ที่จะสกัดความคาดหวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว
"หากไม่มีข่าวร้ายครั้งใหญ่ทางด้านเศรษฐกิจในช่วงเดือนหน้า การประเมินของตลาดเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.ก็ยังคงมีความเป็นไปได้" เขากล่าว
"ผมหวังว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่เฟดหลีกเลี่ยงการส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้กำลังใกล้บรรลุเป้าหมายของเฟดทางด้านเงินเฟ้อ และการจ้างงาน"
นายโรเซนเกรนยังระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในปีหน้า จากปัจจุบันที่ระดับ 1.7% ขณะที่อัตราว่างงานลดต่ำลง