ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 297.84 จุด รับคาดการณ์ ECB ขยายมาตรการ QE

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday December 8, 2016 06:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) โดยดาวโจนส์ และ S&P500 ทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพราะได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขยายเวลาการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมวันนี้ เพื่อสกัดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการลงประชามติในอิตาลี

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,549.62 จุด พุ่งขึ้น 297.84 จุด หรือ +1.55% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,393.76 จุด เพิ่มขึ้น 60.76 จุด หรือ +1.14% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,241.35 จุด เพิ่มขึ้น 29.12 จุด หรือ +1.32%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากนักลงทุนขานรับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระบุว่า ECB จะขยายเวลาในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ออกไปอีก 6 เดือน ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้ โดยจะให้มาตรการดังกล่าวสิ้นสุดในเดือนก.ย.2017 จากเดิมที่จะครบกำหนดในเดือนมี.ค.2017 ขณะที่ ECB จะยังคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรที่ระดับ 8 หมื่นล้านยูโร/เดือน

นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บางรายยังคาดว่า ECB อาจจะทำการผ่อนคลายข้อกำหนดในการซื้อพันธบัตร โดยจะอนุญาตให้สามารถเข้าซื้อพันธบัตรที่มีผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก รวมทั้งสามารถเข้าซื้อพันธบัตรที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี

นักวิเคราะห์เชื่อว่า สาเหตุที่ทำให้ ECB จะขยายเวลาในการซื้อพันธบัตรนั้น ก็เพื่อจะสกัดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการลงประชามติในอิตาลี โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ชาวอิตาลีส่วนใหญ่ลงประชามติคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้นายมัตเตโอ เรนซี นายกรัฐมนตรีอิตาลี ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกระบวนการแก้ไขปัญหาในภาคธนาคารของอิตาลี รวมทั้งจะบั่นทอนเสถียรภาพทางการเงินของยุโรปในที่สุด

หุ้นกลุ่มขนส่งทะยานขึ้นแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการขนส่งจะได้ปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจ ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่สอง ขานรับมุมมองที่ดีขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยหุ้นเอทีแอนด์ที พุ่งขึ้น 2.8% หุ้นเวสเทิร์น ดิจิตอล พุ่งขึ้น 5% และหุ้นไอบีเอ็ม ทะยานขึ้น 2.8%

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ร่วงลง ซึ่งรวมถึงหุ้นไฟเซอร์ และหุ้นเมอร์ก แอนด์ โค หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวว่า เขาจะทำให้ราคายาถูกลง และก่อนหน้านี้นายทรัมป์เคยกล่าวไว้ว่า เขาจะเปิดกว้างต่อการนำเข้ายาราคาถูกจากต่างประเทศ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากอุตสาหกรรมยา และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของสหรัฐ

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนต.ค.

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ ขณะที่ผลสำรวจของ CME Group FedWatch ระบุว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 93% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในปีนี้ และครั้งที่ 2 ในรอบเกือบ 10 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ