ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าร่วงลงในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะอ่อนตัวลงในคืนนี้ หลังจากที่ดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวใกล้แตะระดับ 20,000 จุดเมื่อวานนี้
นักลงทุนซื้อขายอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะสิ้นสุดการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในวันนี้
CME Group FedWatch ระบุว่า การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสมากกว่า 90% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในปีนี้ และครั้งที่ 2 ในรอบเกือบ 10 ปี
นักลงทุนจับตาแถลงการณ์ของเฟด และการแสดงความเห็นของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด หลังการประชุม เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
ณ เวลา 20.57 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าลบ 20 จุด หรือ 0.1% สู่ระดับ 19,893 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 0.58% แตะระดับ 19,911.21 จุดเมื่อคืนนี้ และได้ทะยานขึ้นราว 14% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยการปรับตัวขึ้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างความประหลาดใจต่อตลาดด้วยการคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย. ซึ่งนับตั้งแต่วันดังกล่าว ดัชนีดาวโจนส์ก็ได้พุ่งขึ้นมากกว่า 8% ขณะที่ทำสถิติปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เป็นเวลา 15 วัน
นางเคที สต็อกตัน นักวิเคราะห์ด้านเทคนิคจากบริษัท BTIG กล่าวเตือนว่า ขณะนี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทกำลังส่งสัญญาณ "ขาย" ออกมา ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์กำลังปรับตัวเข้าใกล้ระดับ 20,000 จุด
นางสต็อกตันระบุว่า ถึงแม้ดัชนีดาวโจนส์ทำสถิติพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้ง แต่นักลงทุนควรซื้อขายด้วยความระมัดระวังในระยะสั้น
"นี่เป็นครั้งแรกที่เราเห็นสัญญาณการชะลอตัวของตลาด" เขากล่าว
นางสต็อกตันเปิดเผยว่า สิ่งบ่งชี้ที่ทาง BTIG กำลังจับตาดูอยู่ได้ส่งสัญญาณ "ซื้อ" สำหรับดัชนีดาวโจนส์เมื่อต้นเดือนที่แล้ว แต่ขณะนี้ตัวบ่งชี้กำลังส่งสัญญาณ "ขาย" ซึ่งหมายความว่า ตลาดกำลังอยู่ในภาวะที่มีแรงซื้อมากเกินไป หรืออาจแสดงว่าตลาดกำลังสูญเสียแรงผลักดันในระยะสั้น
อย่างไรก็ดี นางสต็อกตันระบุว่า ตลาดอาจจะยังคงมีแรงผลักดันในระยะกลาง และระยะยาว
นอกจากนี้ นางสต็อกตันเดือนว่า สัญญาณที่แจ้งเตือนแรงขายนั้น อยู่ในหุ้นกลุ่มการเงิน
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในเดือนพ.ย. โดยเพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากพุ่งขึ้น 2 เดือนติดต่อกัน
ยอดค้าปลีกในเดือนพ.ย.ได้รับผลกระทบจากยอดจำหน่ายรถยนต์ที่ลดลง
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย.
เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.8% ในเดือนพ.ย.
ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนต.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกพื้นฐานเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย.