ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ผ่านมา นอกจากนี้ เฟดยังได้แสดงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ด้วยการปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐทั้งในปีนี้และปีหน้า
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.9% ปิดที่ 358.79 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,819.23 จุด เพิ่มขึ้น 49.99 จุด หรือ +1.05% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,366.40 จุด พุ่งขึ้น 121.56 จุด หรือ +1.08% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,999.01 จุด เพิ่มขึ้น 49.82 จุด หรือ +0.72%
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น โดยหุ้นบีเอ็นพี พาริบาส์ พุ่งขึ้น 5.3% หุ้นบังเกีย ซึ่งเป็นธนาคารของสเปน พุ่งขึ้น 6.2% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ปรับตัวขึ้น 4.4%
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นหลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นอีก 0.25% สู่ระดับ 0.50-0.75%
นอกจากนี้ เฟดยังได้แสดงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ด้วยการปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 1.9% จากระดับ 1.8% และปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวในปีหน้าขึ้นสู่ระดับ 2.1% จากระดับ 2.0%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงหนุนจากข้อมูลของมาร์กิต อิโคโนมิคส์ ซึ่งระบุว่า ดัชนีรวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของฝรั่งเศสในเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52.8 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 18 เดือน จากระดับ 51.4 ในเดือนก่อนหน้า
หากแยกเป็นภาคส่วนพบว่า ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 52.6 จากระดับ 51.6 ในเดือนพ.ย. ส่วนดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 53.5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 67 เดือน จากระดับ 51.7
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองแร่อ่อนแรงลง เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น โดยหุ้นเฟรสนิลโล ร่วงลง 5.6% หุ้นเซนทามิน ดิ่งลง 12% หุ้นแรนโกลด์ รีซอสเซส ปรับตัวลง 8% และหุ้นอาร์เซลอร์ มิททัล ลดลง 1.6%