ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (11 ม.ค.) หลังจากราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม แรงบวกได้ถูกสกัดลง เนื่องจากนักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้กล่าวโจมตีอุตสาหกรรมยา ในระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวานนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.2% ปิดที่ 364.90 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,888.71 จุด เพิ่มขึ้น 0.48 จุด หรือ +0.01% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,646.17 จุด เพิ่มขึ้น 62.87 จุด หรือ +0.54% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,290.49 จุด เพิ่มขึ้น 15.02 จุด หรือ +0.21%
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ฟื้นตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ ภายหลังจากซาอุดิอาระเบียได้ส่งสัญญาณถึงความพร้อมที่จะปรับลดกำลังการผลิต ทั้งนี้ หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ พุ่งขึ้น 1.2% หุ้นโททาล ขยับขึ้น 0.6% และหุ้นสแตทออยล์ เอเอสเอ ดีดขึ้น 0.6%
หุ้นโฟล์คสวาเกน พุ่งขึ้น 3.4% หลังจากคณะกรรมการของบริษัทโฟล์คสวาเกน เอจี ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี ได้ให้การอนุมัติต่อข้อตกลงในการจ่ายค่าปรับวงเงิน 4.3 พันล้านดอลลาร์ต่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ เพื่อยุติการดำเนินคดีทางอาญาและทางแพ่งกรณีโกงการตรวจสอบมลพิษจากไอเสียของรถยนต์ดีเซล
ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มรถยนต์ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเดมเลอร์ ขยับขึ้น 0.8% หุ้นปอร์เช่ ออโต้โมบิล โฮลดิ้ง ทะยานขึ้น 4% และหุ้นเรโนลท์ ดีดขึ้น 0.6%
อย่างไรก็ตาม แรงบวกในตลาดหุ้นยุโรปได้ถูกสกัดลงในระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ หลังจากนายทรัมป์ได้กล่าวโจมตีอุตสาหกรรมยา โดยระบุว่า อุตสาหกรรมยาของสหรัฐขณะนี้อยู่ในภาวะย่ำแย่ และรัฐบาลภายใต้การนำของเขาจะสร้างระบบประมูลใหม่สำหรับอุตสาหกรรมยา
ทั้งนี้ หุ้นแอสทราเซเนกา ร่วงลง 1.8% และหุ้นซาโนฟี ดิ่งลง 1.3%