ตลาดหุ้นลอนดอนปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (26 ม.ค.) ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่เปิดเผยผลประกอบการที่สวนทางกัน ขณะที่ตลาดหุ้นได้ปัจจัยหนุนบางส่วนจากการที่รัฐบาลอังกฤษเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ที่ขยายตัวสูงกว่าคาดการณ์
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 2.94 จุด หรือ -0.04% ปิดที่ 7,161.49 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้มีความผันผวน โดยในระหว่างวัน ดัชนี FTSE 100 ดีดตัวสูงสุด 0.3% ในช่วงที่เงินปอนด์เริ่มอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) รายงานว่า เศรษฐกิจอังกฤษมีการขยายตัว 0.6% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
แรงกดดันที่ทำให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงยังมาจากการที่รัฐบาลอังกฤษได้ยื่นร่างกฎหมายแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเมื่อวานนี้ โดยค่าเงินปอนด์ดิ่ง 0.5% หลุดระดับ 1.2600 ดอลลาร์ และร่วงลง 0.52% สู่ระดับ 1.2564 ดอลลาร์ ณ เวลา 20.14 น.ตามเวลาไทย
ทั้งนี้ นายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit ได้ยื่นร่างกฎหมาย Brexit เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันนี้ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้มีการประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป เพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป
ถึงแม้การอ่อนค่าลงของเงินปอนด์ได้ช่วยกระตุ้นผลกำไรของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นลอนดอนอ่อนแรงลงในช่วงท้ายก่อนปิดในแดนลบเมื่อวานนี้ เนื่องจากมีหุ้นบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่บางแห่งรายงานผลประกอบการที่ไม่สู้ดี
หุ้นยูนิลีเวอร์ ผู้ผลิตสินค้าบริโภครายใหญ่ ร่วงลง 4.7% หลังจากบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ภายหลังจากกำไรก่อนหักภาษีของบริษัทปรับตัวขึ้นเพียง 4.2% ในปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น โดยหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ พุ่งขึ้น 2.4% หลังธนาคารเปิดเผยว่าได้เตรียมเงินมูลค่า 3.8 พันล้านปอนด์ เพื่อจ่ายค่าปรับในคดีความที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองค้ำประกัน (MBS) ในสหรัฐ