ตลาดหุ้นนิวยอร์กอ่อนตัวลงเล็กน้อยในวันนี้ โดยถูกถ่วงลงจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการขยายตัวต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4
ขณะเดียวกัน นักลงทุนให้ความสนใจต่อการพบปะกันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษในวันนี้ และจับตาถ้อยแถลงที่อาจเกี่ยวข้องกับการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐและอังกฤษ รวมถึงประเด็นการแยกตัวของอังกฤษจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ณ เวลา 21.50 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 20,095.06 จุด ลดลง 5.85 จุด หรือ 0.03%
หุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นเชฟรอนร่วงลงมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ปรับตัวลงในวันนี้ จากการที่นักลงทุนกังวลต่อการที่สหรัฐเพิ่มการขุดเจาะและผลิตน้ำมันดิบในขณะนี้
ณ เวลา 19.34 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนมี.ค. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ตลาด NYMEX ลดลง 38 เซนต์ หรือ 0.71% สู่ระดับ 53.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ตัวเลขประมาณการเบื้องต้นของการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 4 อยู่ที่ระดับ 1.9% โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.2% ขณะที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการส่งออก และการใช้จ่ายของผู้บริโภค
เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 3.5% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2014 และมีการเติบโต 1.4% ในไตรมาส 2 และ 0.8% ในไตรมาส 1
การส่งออกของสหรัฐชะลอตัวสู่ระดับ 4.3% ในไตรมาส 4 หลังจากพุ่งขึ้น 10.0% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2013
การใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัวสู่ระดับ 2.5% ในไตรมาส 4 หลังจากแตะระดับ 3.0% ในไตรมาส 3 และ 4.3% ในไตรมาส 2
เมื่อพิจารณาทั้งปี 2016 เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวเพียง 1.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2011 และลดลงจากระดับ 2.6% ในปี 2015
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ร่วงลง 0.4% ในเดือนธ.ค. โดยได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ที่ดิ่งลงสำหรับเครื่องบิน
ขณะเดียวกัน ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนธ.ค. โดยเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นตัวที่ 6 ติดต่อกัน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนพ.ย.