ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (31 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทส่งออกในยุโรป หลังจากสกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ภายหลังจากที่ปรึกษาด้านการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวหาเยอรมนีว่ากำลังใช้ยูโรที่อ่อนค่าเกินความเป็นจริง เพื่อสร้างความได้เปรียบต่อสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดลบ 0.7% แตะที่ 360.12 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,748.90 จุด ลดลง 35.74 จุด หรือ -0.75% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 11,535.31 จุด ร่วงลง 146.58 จุด หรือ -1.25% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,099.15 จุด ลดลง 19.33 จุด หรือ -0.27%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินยูโรที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับศักยภาพในการทำกำไรของบริษัทส่งออกในยุโรป โดยยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากนายปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และหัวหน้าสภาการค้าแห่งชาติสหรัฐ กล่าวให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สว่า เยอรมนีกำลังใช้ยูโรที่อ่อนค่าเกินความเป็นจริง เพื่อสร้างความได้เปรียบต่อสหรัฐ และคู่ค้าในสหภาพยุโรป
นายนาวาร์โรยังกล่าวด้วยว่า สกุลเงินยูโรมีบทบาทเหมือนสกุลเงินดอยช์มาร์คโดยปริยาย ซึ่งการมีมูลค่าต่ำได้ทำให้เยอรมนีมีความได้เปรียบเหนือคู่ค้าอื่นๆ พร้อมกับระบุว่า เยอรมนีคืออุปสรรคสำคัญต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้การเจรจาข้อตกลงหุ้นส่วนการค้าและการลงทุนข้ามแอตแลนติก (TTIP) ต้องประสบความล้มเหลว
หุ้นดอยซ์แบงก์ ร่วงลง 1.2% หลังจากสำนักงานกำกับสถาบันการเงินของอังกฤษ (FCA) ประกาศปรับธนาคารดอยซ์แบงก์เป็นเงินจำนวน 163 ล้านปอนด์ (204 ล้านดอลลาร์) ในข้อหาหละหลวมในการป้องกันการฟอกเงิน โดยค่าปรับดังกล่าวถือเป็นค่าปรับสถาบันการเงินของ FCA ที่มีวงเงินสูงเป็นประวัติการณ์
FCA ระบุว่า ดอยซ์แบงก์ทำให้ระบบการเงินของสหราชอาณาจักรมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรมทางการเงินในระหว่างเดือนม.ค.2012-เดือนธ.ค.2015 โดยลูกค้าของดอยซ์แบงก์หลายราย ซึ่งรวมถึง ธนาคารดีบี มอสโก ซึ่งเป็นธนาคารในเครือของดอยซ์แบงก์ในรัสเซีย ได้ทำการโอนเงินมากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ออกจากรัสเซียไปยังบัญชีในต่างประเทศ ผ่านทางธนาคารดอยซ์แบงก์ในสหราชอาณาจักร
หุ้นยูนิเครดิตร่วงลง 4% หลังจากธนาคารได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการตลอดปี 2560