ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่สองในวันพฤหัสบดี (2 ก.พ.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ หลังธนาคารกลางอังกฤษปรับเพิ่มการคาดการณ์เศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณว่าจะยังไม่รีบขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนี FTSE 100 เพิ่มขึ้น 33.10 จุด หรือ +0.47% ปิดที่ 7,140.75 จุด
ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวานนี้ ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติเป็นเอกฉันท์ 9-0 เสียงให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมทั้งประกาศคงวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 4.35 แสนล้านปอนด์ และคงวงเงินซื้อหุ้นกู้ในภาคเอกชนที่ระดับ 1 หมื่นล้านปอนด์
ขณะเดียวกัน แบงก์ชาติอังกฤษได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจสำหรับปี 2560-2562 โดยคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศจะมีการขยายตัวมากขึ้น ขณะที่ได้รับแรงหนุนจากการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการคลัง รวมทั้งได้รับแรงผลักดันจากเศรษฐกิจโลก
BoE คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอังกฤษจะขยายตัว 2.0% ในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 1.4% ที่คาดการณ์ในเดือนพ.ย. และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 1.6% และ 1.7% ในปี 2561 และ 2562 ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ระดับ 1.5% และ 1.6%
นอกจากนี้ ธนาคารกลางอังกฤษคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อสำหรับไตรมาสแรกของปี 2561 ที่ระดับ 2.7% ขณะที่ปี 2562 และ 2563 อยู่ที่ระดับ 2.6% และ 2.4% ตามลำดับ โดยได้ปรับลดจากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ในเดือนพ.ย.
ขณะที่นายมาร์ค คาร์นีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษส่งสัญญาณการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไป ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ระดับต่ำ โดยนายคาร์นีย์กล่าวในการแถลงข่าวว่า เศรษฐกิจอังกฤษสามารถดำเนินต่อไปได้ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ โดยที่ BoE ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนโยบาย
นายคาร์นีย์ระบุว่า รัฐบาลยังคงพร้อมใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจยังคงมีการขยายตัวหลังการลงประชามติแยกตัวจากสหภาพยุโรป
ทั้งนี้ ตลาดมองว่าธนาคารกลางอังกฤษไม่ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนหรือท่าทีใดๆ ภายหลังรับทราบผลการประชุมและการแถลงของผู้ว่าแบงก์ชาติ ทำให้ปอนด์ร่วงลงอย่างหนัก โดยปอนด์อ่อนค่าลง 0.8% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ แตะ 1.2562 ดอลลาร์ และร่วงลงราว 1 เซนต์ยูโร หรือ 1.0% แตะ 1.1639 ยูโร
การอ่อนค่าของเงินปอนด์กลายเป็นปัจจัยหนุนให้ดัชนี FTSE 100 ปิดปรับตัวขึ้น เนื่องจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงนั้นเป็นผลดีต่อบรรดาบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เพราะบริษัทเหล่านี้สามารถทำผลกำไรในต่างประเทศได้เพิ่มขึ้นจากอานิสงส์ของอัตราแลกเปลี่ยน
ขณะที่วานนี้ รัฐบาลอังกฤษได้เปิดเผยรายงานสมุดปกขาวความยาว 75 หน้า เพื่อแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายและกลยุทธ์ของอังกฤษในการเจรจาประเด็น Brexit กับ EU
โดยนายเดวิด เดวิส รมว.ฝ่ายกิจการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) กล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษต้องการลดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประเด็น Brexit และหวังว่าจะมีผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งอังกฤษและสหภาพยุโรป (EU)
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ พุ่งเกือบ 4% หลังจากที่กลุ่มบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยืนยันว่า บริษัทได้ยื่นข้อเสนอซื้อ มี้ด จอห์นสัน ผู้ผลิตนมผงสำหรับเด็ก เป็นเงินสดหุ้นละ 90 ดอลลาร์ คิดเป็นมูลค่ารวม 1.67 หมื่นล้านปอนด์
หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ บวก 1.3% หลังจากบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่รายงานผลประกอบการล่าสุด โดยกำไรปี 2559 ลดลงสู่ระดับ 3.5 พันล้านดอลลาร์ จาก 3.8 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เชลล์เผยว่า กระแสเงินสดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีทะยานขึ้นเกือบ 70% มาอยู่ที่ราว 9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าจำนวนเงินปันผลที่บริษัทจะจ่าย พร้อมทั้งระบุด้วยว่า บริษัทสามารถชำระหนี้มูลค่า 4.5 พันล้านดอลลาร์
หุ้นโวดาโฟนทรงตัว หลังบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่เผยว่า การเติบโตของผลประกอบการตลอดทั้งปีน่าจะอยู่ที่กรอบล่างของ 3%-6% โดยโวดาโฟนเผยว่า รายได้ลดลงในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2559 เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่ดุเดือดในภาคบริการธุรกิจ