ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดพุ่ง 142.79 จุด รับแผนลดภาษี "ทรัมป์"

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday February 14, 2017 06:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ก.พ.) โดยดัชนีดาวโจนส์, NASDAQ และ S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงขานรับข่าวที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เตรียมประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ โดยนักลงทุนเดินหน้าเข้าซื้อหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าว ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากรายงานที่ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้นต่อจีนและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสองประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,412.16 จุด พุ่งขึ้น 142.79 จุด หรือ +0.70% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,763.96 จุด เพิ่มขึ้น 29.83 จุด หรือ +0.52% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,328.25 จุด เพิ่มขึ้น 12.15 จุด หรือ +0.52%

ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคัก โดยดัชนีหลักทั้งสามดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นวันที่สอง หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้เปิดเผยในระหว่างการประชุมกับผู้บริหารของสายการบินที่ทำเนียบขาวว่า เขาจะประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่สัปดาห์

ทั้งนี้ ทรัมป์กล่าวว่า การปรับลดภาระภาษีโดยรวมสำหรับภาคธุรกิจของสหรัฐถือเป็นเรื่องใหญ่ และเขาจะประกาศแผนการดังกล่าวภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า

นักวิเคราะห์จากแคปิตอล ซิเคียวริตีส์ เมเนจเมนท์กล่าวว่า นอกเหนือจากแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่แล้ว ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีทรัมป์มีท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้นต่อจีนและญี่ปุ่น โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้จัดการประชุมหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ที่กรุงวอชิงตัน ซึ่งทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐต้องการความสัมพันธ์ทางการค้าที่เสรี เป็นธรรม และต่างตอบแทนกันร่วมกับญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ผู้นำสหรัฐได้ต่อสายตรงคุยกับผู้นำจีน นับตั้งแต่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยทรัมป์กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐนั้นมีความคืบหน้าดีมาก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อทุกประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงญี่ปุ่น

ทั้งนี้ ทำเนียบขาวเปิดเผยในคืนวันพฤหัสบดีว่า ปธน.ทรัมป์และปธน.สีได้พูดคุยกันอย่างอบอุ่นและเป็นมิตรในระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ และได้มีการเชิญแต่ละฝ่ายเดินทางเยือนประเทศของอีกฝ่าย

หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้น นำโดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 1.5% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค พุ่งขึ้น 1.3% ส่วนหุ้นแคเทอร์พิลลาร์ ทะยานขึ้น 2.3%

หุ้นแอปเปิล อิงค์ ปรับตัวขึ้น 0.9% หลังจากนักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นแอปเปิล อันเนื่องมาจากยอดขายไอโฟนที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

อย่างไรก็ตาม หุ้นเวอไรซอน คอมมูนิเคชั่นส์ ปรับตัวลง 0.9% หลังจากมีรายงานว่า ทางบริษัทเตรียมขายธุรกิจบริการด้านข้อมูล โดยนับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปีที่ทางบริษัทเสนอขายธุรกิจดังกล่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือดนั้น ส่งผลให้เวอไรซอนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนม.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนก.พ. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), ยอดค้าปลีกเดือนม.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนม.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเดือนธ.ค., ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนม.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐเดือนม.ค.โดย Conference Board

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตานางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะแถลงนโยบายการเงินต่อคณะกรรมาธิการในสภาคองเกรส ในวันที่ 14-15 ก.พ.นี้ โดยคาดว่าถ้อยแถลงครั้งนี้จะครอบคลุมถึงภาวะเศรษฐกิจสหรัฐและนโยบายการเงิน และอาจมีการส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ