ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวต่อเนื่องในวันนี้ ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ยังคงเดินหน้าแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขานรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้คำมั่นที่จะปรับลดกฎระเบียบ และปรับลดภาษีลง
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ณ เวลา 00.02 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 20,582.06 จุด เพิ่มขึ้น 77.65 จุด หรือ 0.38%
ปธน.ทรัมป์ได้จัดการประชุมร่วมกับผู้บริหารของกลุ่มบริษัทค้าปลีกที่ทำเนียบขาวในวันนี้ โดยเขาให้คำมั่นที่จะปรับลดกฎระเบียบ และปรับลดภาษีลง
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะทำการปรับลดกฎระเบียบทั่วภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากกฎระเบียบดังกล่าวได้ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายจำนวนมากต่อภาคธุรกิจ
ปธน.ทรัมป์ระบุว่า เขาจะลดกฎระเบียบเพื่อให้เกิดการสร้างงาน
นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า การปฏิรูปภาษีจะถือเป็นหนึ่งในโอกาสดีที่สุดที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ โดยการจัดเตรียมแผนการด้านภาษีของรัฐบาลกำลังเป็นไปด้วยดี และจะมีการประกาศออกมาในไม่ช้า
ปธน.ทรัมป์ยืนยันว่า แผนปฏิรูปภาษีดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ดี และมีความเรียบง่าย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุน หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นในเดือนธ.ค. ขณะที่ยอดขายพุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 6 ปี
ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ค รายงานในวันนี้ว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) มีการขยายตัวสูงที่สุดในรอบกว่า 2 ปี ในเดือนก.พ. ขณะที่ได้ปัจจัยหนุนจากการทะยานขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ หลังจากเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนธ.ค.
ยอดค้าปลีกในเดือนม.ค.ได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น แม้ว่ายอดขายรถยนต์ดิ่งลงก็ตาม
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนม.ค.
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปี ในเดือนม.ค. จากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2013 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนธ.ค.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 2.5% ในเดือนม.ค. ซึ่งสูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2012 หลังจากเพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนธ.ค.