ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ก.พ.) โดยดาวโจนส์เดินหน้าทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดติดต่อกัน 8 วันทำการ เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีก หลังจากบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงวอล-มาร์ทและเมซี่ เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากความหวังที่ว่า มาตรการปรับลดอัตราภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายผู้บริโภค
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,743.00 จุด พุ่งขึ้น 118.95 จุด หรือ +0.58% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,865.95 จุด เพิ่มขึ้น 27.37 จุด หรือ +0.47% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,365.38 จุด เพิ่มขึ้น 14.22 จุด หรือ +0.60%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกดีดตัวขึ้น โดยหุ้นวอล-มาร์ท พุ่งขึ้น 6% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 1.30 ดอลลาร์/หุ้น ในไตรมาส 4/2559 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ที่ระดับ 1.29 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 1.8% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.3%
หุ้นเมซี่ ปรับตัวขึ้นกว่า 1% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 2.02 ดอลลาร์/หุ้น ในไตรมาส 4/2559 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ที่ระดับ 1.96 ดอลลาร์/หุ้น
หุ้นโฮม ดีโปท์ ปรับตัวขึ้น 1.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขกำไร 1.44 ดอลลาร์/หุ้น ในไตรมาส 4/2559 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.34 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ 2.221 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.18 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นแอปเปิล อิงค์ ดีดตัวขึ้น 0.7% หลังจากนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาหุ้นของแอปเปิล อิงค์ อันเนื่องมาจากยอดขายที่แข็งแกร่งในประเทศจีน
หุ้นป๊อปอายส์ หลุยส์เซียนา คิทเช่น ทะยานขึ้น 19.1% หลังจากบริษัทเรสเตอรองท์ แบรนด์ อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นเจ้าของเบอร์เกอร์ คิง ได้ตกลงเข้าซื้อกิจการป๊อปอายส์ หลุยส์เซียนา คิทเช่น ในวงเงิน 1.8 พันล้านดอลลาร์
หุ้นอเมซอน ปรับตัวขึ้น 1.3% หลังจากอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของสหรัฐรายนี้ประกาศว่า ทางบริษัทจะจ้างพนักงานเต็มเวลาจำนวน 5 พันคนในสหราชอาณาจักรในปีนี้
ส่วนหุ้นยูนิลีเวอร์ ดิ่งลง 7.5% และหุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ ร่วงลง 1.8% หลังจากคราฟท์ ไฮนซ์ ได้ประกาศยุติความพยายามที่จะยื่นข้อเสนอซื้อยูนิลีเวอร์ ภายหลังจากที่ยูนิลีเวอร์ได้ปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการจากคราฟท์ วงเงิน 1.35 แสนล้านยูโร (1.43 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือ 47 ยูโรต่อหุ้น
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่า มาตรการปรับลดอัตราภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายผู้บริโภค โดยนักลงทุนจับตาประธานาธิบดีทรัมป์ซึ่งจะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐในวันที่ 28 ก.พ. ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า ทรัมป์จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลในวันดังกล่าว
กระแสคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมานั้น ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะประกาศแผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ "ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า" โดยนอกจากมาตรการปฏิรูปภาษีแล้ว นักวิเคราะห์ยังคาดว่าปธน.ทรัมป์จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการสาธารณูปโภคในวันดังกล่าวเช่นกัน
นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดขายบ้านมือสองเดือนม.ค., รายงานการประชุมประจำวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC), ดัชนีกิจกรรมการผลิตทั่วประเทศเดือนม.ค.จากเฟดชิคาโก, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดขายบ้านใหม่เดือนม.ค.