ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (28 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐในช่วงเช้าวันนี้เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 4 ของสหรัฐที่ขยายตัวต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,812.24 จุด ลดลง 25.20 จุด หรือ -0.12% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,825.44 จุด ลดลง 36.46 จุด หรือ -0.62% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,363.64 จุด ลดลง 6.11 จุด, -0.26%
นักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนปธน.ทรัมป์แถลงต่อสภาคองเกรส ซึ่งส่งผลให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบเป็นวันแรกในรอบ 13 วันทำการ โดยการกล่าวสุนทรพจน์ของปธน.ทรัมป์ในครั้งนี้จะมีขึ้นในระหว่างการประชุมร่วมระหว่างวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และเป็นที่จับตาของตลาดการเงินทั่วโลก นักวิเคราะห์คาดว่า ปธน.ทรัมป์จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลในการแถลงต่อสภาคองเกรส และคาดว่าจะมีการเปิดเผยนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าข้ามชายแดน, การปฏิรูปกฎหมายประกันสุขภาพที่เรียกว่า "โอบามาแคร์", การยกเลิกกฎระเบียบในภาคอุตสาหกรรม และการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการสาธารณูปโภค รวมทั้งการใช้จ่ายงบประมาณด้านกลาโหมครั้งใหญ่ในการแถลงต่อสภาคองเกรสในครั้งนี้เช่นกัน
ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของการขยายตัวจีดีพีประจำไตรมาส 4/2559 อยู่ที่ระดับ 1.9% ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.1% และไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการเบื้องต้น
เมื่อพิจารณาทั้งปี 2559 จีดีพีสหรัฐมีการขยายตัวเพียง 1.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2554 และลดลงจากระดับ 2.6% ในปี 2558
ส่วนข้อมูลการค้าที่ย่ำแย่ก็ส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายเป็นไปอย่างซบเซาเช่นกัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.6% ในเดือนม.ค. แตะระดับ 6.922 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดส่งออกสินค้าและการบริการปรับตัวลง 0.3% และยอดนำเข้าสินค้าและการบริการพุ่งขึ้น 2.3%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค. โดยผลสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์ซึ่งจัดทำโดยสถาบันบุควาร์ ระบุว่า มีความเป็นไปได้ถึง 50% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้นจากระดับ 20% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ เฟดจะประชุมกำหนดนโยบายการเงินเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้ในวันที่ 14-15 มี.ค. หลังจากที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.50-0.75% ในการประชุมวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ. ซึ่งเป็นการประชุมครั้งแรกของปีนี้
หุ้นทาร์เก็ต ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 12.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 4/2559 ที่อ่อนแอเกินคาด และยังได้ปรับลดแนวโน้มผลประกอบการในปี 2560
หุ้นซิกเน็ท จิวเวลเลอร์ส ดิ่งลง 13% หลังจากบริษัทได้รับผลกระทบจากข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานในองค์กร
หุ้นกลุ่มโบรกเกอร์ออนไลน์ปรับตัวลง หลังจากฟิเดลิตี้ ซึ่งเป็นบริษัทโบรกเกอร์ออนไลน์รายใหญ่ ประกาศลดค่าธรรมเนียมการซื้อขาย โดยหุ้นอีเทรด ไฟแนนเชียล ดิ่งลง 7.2% ชาร์ลส์ ชวาบ ร่วงลง 3.2% และหุ้นทีดี อเมริเทรด ดิ่งลง 10.5%
หุ้นไพรซ์ไลน์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวทางออนไลน์ พุ่งขึ้น 5.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.พ.โดยมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.พ.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนม.ค. และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)