ตลาดหุ้นนิวยอร์กอ่อนตัวลงในวันนี้ โดยดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเป็นวันที่ 2 จากการที่นักลงทุนวิตกต่อการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่พรรครีพับลิกันได้เปิดเผยแผนการยกเลิก และทดแทนกฎหมายประกันสุขภาพที่เรียกว่า "โอบามาแคร์" ขณะที่สมาชิกพรรคเดโมแครตต่างก็โจมตีการดำเนินการดังกล่าว
ณ เวลา 21.45 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 20,916.52 จุด ลดลง 37.82 จุด หรือ 0.18%
หุ้นกลุ่มธุรกิจดูแลสุขภาพดิ่งลงนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นโกลด์แมน แซคส์ร่วงลงมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก
CME Group FedWatch ระบุว่า ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสสูงถึง 86.4% ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้
ก่อนหน้านี้ ตลาดประเมินว่ามีความเป็นไปได้ไม่ถึง 20% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15 มี.ค.
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า เฟดพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ หากเศรษฐกิจมีการขยายตัวที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของเจ้าหน้าที่
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 5 ปีในเดือนม.ค. ขณะที่การนำเข้าทะยานขึ้นจากราคาน้ำมันที่ดีดตัวขึ้น
ทั้งนี้ สหรัฐมีตัวเลขขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 9.6% ในเดือนม.ค. สู่ระดับ 4.85 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2012 หลังจากที่ขาดดุล 4.43 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.
หากปรับค่าตามเงินเฟ้อ สหรัฐจะขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.53 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. จากระดับ 6.20 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.
สหรัฐส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 0.6% สู่ระดับ 1.921 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2014 ขณะที่นำเข้าสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น 2.3% สู่ระดับ 2.406 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2014 เช่นกัน
ทั้งนี้ สหรัฐขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น 12.8% สู่ระดับ 3.13 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. ขณะที่ขาดดุลการค้ากับเม็กซิโกลดลง 10.1% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2015