ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (29 มี.ค.) หลังจากอังกฤษเริ่มต้นกระบวนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) อย่างเป็นทางการ ซึ่งนักลงทุนติดตามความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ยังได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนที่บริษัทจดทะเบียนจะเริ่มทยอยเปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาสแรกปีนี้ อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ดีดตัวขึ้น และดัชนี NASDAQ ปิดตลาดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นกว่า 2%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,659.32 จุด ลดลง 42.18 จุด หรือ -0.20% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,361.13 จุด เพิ่มขึ้น 2.56 จุด หรือ +0.11% และดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,897.55 เพิ่มขึ้น 22.41 จุด หรือ +0.38%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดอ่อนแรงลง หลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ประกาศมาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอน เพื่อเริ่มกระบวนการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ณ สภาสามัญชน (House of Commons) เมื่อวานนี้ ภายหลังจากนายทิม บาร์โรว์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำสหภาพยุโรป ได้ยื่นหนังสือแจ้งความจำนงดังกล่าวต่อนายโดนัลด์ ทัสค์ ประธานคณะมนตรียุโรป ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม
นักลงทุนติดตามสถานการณ์ Brexit อย่างใกล้ชิด เนื่องจากการแยกตัวออกจาก EU อาจจะส่งผลให้อังกฤษเผชิญกับความไม่แน่นอนทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ขณะที่ภาคธุรกิจของอังกฤษได้ออกมาเรียกร้องเมื่อวานนี้ เพื่อขอให้รัฐบาลรับประกันในเรื่องสิทธิของพนักงานของกลุ่มประเทศ EU ที่ทำงานอยู่ในอังกฤษในระหว่างที่ได้มีการเจรจาต่อรองเพื่อถอนตัวจาก EU รวมทั้งการบริหารจัดการในช่วงเปลี่ยนผ่าน หากอังกฤษไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับทางสหภาพยุโรปได้ภายในระยะเวลา 2 ปี
นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่บริษัทจดทะเบียนจะเริ่มทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2560 ในช่วงกลางเดือนหน้า ขณะที่ผลสำรวจของนักวิเคราะห์ซึ่งจัดทำโดย FactSet ระบุว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ย 9%
นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ยังได้รับแรงกดดันจากการแสดงความเห็นของนายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก ที่ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง และนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก ที่ส่งสัญญาณว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกมากกว่า 3 ครั้งในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P 500 และ NASDAQ ปิดตลาดดีดตัวขึ้น เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเฮส คอร์ป พุ่งขึ้น 4.9% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ทะยานขึ้น 7.8% และหุ้นมาราธอน ออยล์ พุ่งขึ้น 4.1%
ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นนอร์ดสตรอม หุ้นโคลท์ และหุ้นอเมซอน ต่างก็ปรับตัวขึ้นกว่า 2%
หุ้นไมแลน ผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 3.3% หลังจากสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ ไม่อนุญาตให้มีการจำหน่ายยา Advair Diskus ซึ่งใช้รักษาโรคหอบหืด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ปรับตัวขึ้น 5.5% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน และหากเมื่อเทียบรายปี ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.6%
นอกเหนือจากรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแล้ว นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2559 (ประมาณการครั้งสุดท้าย), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.พ., รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน