ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงในวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งได้รับแรงกดดันจากการแสดงความเห็นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์และอัตราดอกเบี้ย
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดลดลง 1.32 จุด หรือ -0.35% แตะที่ 380.58 จุด สำหรับทั้งสัปดาห์ ดัชนีลดลง 0.2% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,071.10 จุด ลดลง 30.01 จุด หรือ -0.59% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,109.00 จุด ลดลง 45.70 จุด หรือ -0.38% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,327.59 จุด ลดลง 21.40 จุด หรือ -0.29%
วันพฤหัสบดีถือเป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์นี้ โดยตลาดหุ้นยุโรปจะปิดทำการในวันศุกร์ เนื่องในวัน Good Friday และวันจันทร์เนื่องในวันหยุด Easter
ทั้งนี้ แม้ธนาคารหลายแห่งของสหรัฐได้เปิดเผยผลประกอบการที่ออกมาดีเกินคาด ซึ่งรวมถึง ซิตี้กรุ๊ป และ เจพี มอร์แกน แต่ก็ไม่สามารถช่วยกระตุ้นแรงซื้อได้ ขณะที่ปริมาณการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากนักลงทุนชะลอเทรดก่อนหยุดยาวหลายวันเนื่องในเทศกาล Easter
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลว่า ดอลลาร์กำลังแข็งค่ามากเกินไปในขณะนี้ ทั้งยังระบุด้วยว่า เขาชอบนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำ
คำกล่าวของปธน.ทรัมป์ถือเป็นการสวนทางกับทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยดอลลาร์ปรับตัวผันผวนจากคำกล่าวของปธน.ทรัมป์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 5 เดือน ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ยุโรปปรับตัวลง ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มผลกำไรให้กับธนาคาร ขณะที่บอนด์ยีลด์ที่ลดลงก็อาจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของธนาคาร
หุ้นกลุ่มธนาคารยุโรปร่วงลงเกือบทั้งหมด แม้ธนาคารหลายแห่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงซิตี้กรุ๊ป และ เจพีมอร์แกน เชส เปิดเผยผลประกอบที่ออกมาดีเกินคาด แต่ก็ไม่สามารถกระตุ้นแรงซื้อได้
ธนาคารเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นจากปีที่แล้ว รวมทั้งผลประกอบการจากธุรกิจวาณิชธนกิจ
เจพีมอร์แกน เชส ระบุว่า ธนาคารมีรายได้ 2.56 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 6.45 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.65 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1
ทางด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 2.49 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.52 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 1
ด้านซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไร และรายได้ในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการซื้อขายผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในแผนกวาณิชธนกิจ และจากการปรับตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
ซิตี้กรุ๊ประบุว่า ธนาคารมีรายได้ 1.812 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 4.1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.35 ดอลลาร์/หุ้น
นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้ที่ระดับ 1.776 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.24 ดอลลาร์/หุ้น
ทั้งนี้ หุ้นเครดิต อากริโคล ร่วง 1.7% เอชเอสบีซี ร่วง 1.7% สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ลดลง 1.6% รอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ (อาร์บีเอส) ลดลง 1.3% คอมเมิร์ซแบงก์ ลดลง 1.1% บาร์เคลย์ ลบ 0.5% อย่างไรก็ดี ลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 0.3%