ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (18 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ และการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การเมืองในสหรัฐ รวมทั้งความสามารถของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 20,663.02 จุด เพิ่มขึ้น 56.09 จุด หรือ +0.27% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,365.72 จุด เพิ่มขึ้น 8.69 จุด หรือ +0.37% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,055.13 จุด เพิ่มขึ้น 43.89 จุด หรือ +0.73%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในวันพุธ โดยปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดฟื้นตัวขึ้นนั้น มาจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐซึ่งระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 4,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 232,000 ราย สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 240,000 ราย
ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงอยู่ต่ำกว่า 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 115 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1970
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์นั้น ลดลง 2,750 ราย สู่ระดับ 240,750 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นและเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวกเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นแอปเปิล หุ้นอเมซอน และหุ้นเฟซบุ๊ก ต่างก็ปิดตลาดปรับตัวขึ้นกว่า 1.5%
หุ้นเฟซบุ๊กได้รับแรงซื้อส่งเข้าหนุน แม้มีรายงานว่าหน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันของสหภาพยุโรปได้สั่งปรับเฟซบุ๊ก อิงค์ ของสหรัฐ เป็นจำนวนเงินกว่า 110 ล้านยูโร หรือ 122 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังตรวจสอบพบว่าเฟซบุ๊กได้แจ้งข้อมูลที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในระหว่างการตรวจสอบกรณีที่เฟซบุ๊กเข้าซื้อกิจการของ Whatsapp เมื่อปี 2557
หุ้นวอล-มาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทะยานขึ้น 3.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้น 1.00 ดอลลาร์ในไตรมาส 1 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 96 เซนต์ และสูงกว่าระดับ 98 เซนต์ที่ทำไว้ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ส่วนหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ปิดร่วงลง 7.2% หลังจากบริษัทประกาศปรับลดจำนวนพนักงานลงอีก 1,100 ตำแหน่ง ตามแผนปรับโครงสร้างองค์กร
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การเมืองในสหรัฐ หลังจากที่ปธน.ทรัมป์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการแทรกแซงการดำเนินงานของสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) หลังจากที่เขาสั่งปลดนายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการ FBI และยังได้สั่งการให้นายโคมีย์ยุติการสืบสวนประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างนายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ กับรัฐบาลรัสเซีย
อย่างไรก็ตาม นายไมเคิล โชล ประธานบริษัทมาร์เก็ตฟิลด์ แอสเซ็ท แมเนจเมนต์ กล่าวว่า เขาไม่คิดว่าความเสี่ยงจากการที่ปธน.ทรัมป์จะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนมุมมองต่อตลาด โดยเขาเชื่อว่าสิ่งนี้จะไม่กระทบต่อวัฏจักรเศรษฐกิจ หรือภาวะกระทิงในขณะนี้
ด้านสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักวิเคราะห์หลายรายได้คาดการณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสหรัฐขณะนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มที่แข็งแกร่งในระยะยาวของตลาดหุ้นนิวยอร์ก