ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 พ.ค.) โดยตลาดปิดลบติดต่อกัน 2 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในสหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายปฏิรูปอื่นๆของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์หลังจากนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ลดลง 0.5% ปิดที่ 389.19 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,590.06 จุด ลดลง 41.55 จุด หรือ -0.33% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,289.73 จุด ลดลง 28.16 จุด หรือ -0.53% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,436.42 จุด ลดลง 67.05 จุด หรือ -0.89%
ตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในสหรัฐ หลังจากปธน.ทรัมป์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเกี่ยวกับการแทรกแซงการดำเนินงานของสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) หลังจากที่เขาสั่งปลดนายเจมส์ โคมีย์ อดีตผู้อำนวยการ FBI และยังได้สั่งการให้นายโคมีย์ยุติการสืบสวนประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างนายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ กับรัฐบาลรัสเซีย
ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกในสถานการณ์ความไม่แน่นอนในสหรัฐ เนื่องจากปธน.ทรัมป์อาจเผชิญกับแรงกดดันเพิ่มขึ้น อีกทั้งพบกับอุปสรรคในการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนการปฏิรูปภาษีหลังจากนี้
หุ้นเฟียต ไคร์สเลอร์ ออโต้โมบิล ร่วงลง 3.1% หลังจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐประกาศว่ายื่นฟ้องคดีแพ่งต่อบริษัทเฟียต ไคร์สเลอร์ ในข้อหาใช้ซอฟต์แวร์เพื่อโกงการตรวจจับมลพิษ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศยุโรปที่ได้มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สำนักงานสถิติแห่งชาติ (ONS) ของอังกฤษ เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบเป็นรายเดือน และหากเทียบเป็นรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 4% ในเดือนเม.ย.
ทางด้านสำนักงานสถิติฝรั่งเศส (Insee) เปิดเผยว่า อัตราการว่างงานในไตรมาส 1 ปีนี้ ลดลงแตะระดับ 9.6% จากระดับ 10% ในไตรมาส 1 ปีที่แล้ว