ดัชนีตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (18 พ.ค.) โดยเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย.เป็นต้นมา ด้วยปัจจัยลบจากการที่เงินสกุลปอนด์แข็งค่าขึ้นทะลุ 1.30 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 8 เดือนเมื่อคืนนี้ สืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์ก่อนหน้านี้
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 67.05 จุด หรือ -0.89% ปิดที่ 7,436.42 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อวานนี้ ได้รับปัจจัยลบจากการแข็งค่าของเงินสกุลปอนด์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังจากที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า ในเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ได้สั่งการให้นายเจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) ในเวลานั้น ยุติการสอบสวนประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างนายไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ กับรัฐบาลรัสเซีย ซึ่งต่อมานายโตมีย์ถูกปลดออกจากตำแหน่งผอ. FBI รายงานข่าวดังกล่าวทำให้เกิดกระแสความวิตกเป็นวงกว้างว่า ปธน.ทรัมป์อาจถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง หากมีการตรวจสอบพบว่าเขาแทรกแซงการดำเนินงานของ FBI จริง
นักวิเคราะห์ตลาดจากแฮนเทค มาร์เก็ตส์ กล่าวว่า "ความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนั้น ได้สร้างความวิตกกังวลในตลาดเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์ด้วยว่า จากนี้ไป ปธน.ทรัมป์จะประสบกับความยากลำบากมากขึ้นในการผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและนโยบายปฏิรูปอื่นๆ"
หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นไชร์ เพิ่มขึ้น 1.8% หลังบริษัทเภสัชภัณฑ์รายใหญ่ดังกล่าวรายงานผลความคืบหน้าที่น่าพอใจในการทดลองยารักษาโรคแองจิโออีเดมาที่เกิดจากพันธุกรรม ในขั้นตอนสุดท้าย
หุ้นเบอร์เบอร์รี กรุ๊ป พุ่งขึ้น 4.7% หลังบริษัทค้าปลีกสินค้าหรูรายใหญ่ดังกล่าว เปิดเผยว่า บริษัทยังอยู่ในทิศทางการดำเนินงานตามเป้าหมายของโครงการประหยัดต้นทุน นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศที่จะซื้อหุ้นกลับคืนในวงเงิน 300 ล้านปอนด์ (388.2 ล้านดอลลาร์)
หุ้นรอยัล เมล ขยับขึ้น 0.7% หลังบริษัทไปรษณีย์รายนี้ รายงานผลกำไรก่อนหักภาษีพุ่งขึ้น 25% ในปีงบการเงิน 2017