ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (30 พ.ค.) หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลง ซึ่งได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงด้วย ขณะที่หุ้นกลุ่มสายการบินร่วงลงหลังจากมีรายงานว่าสหรัฐอาจจะขยายมาตรการห้ามผู้โดยสารพกพาแล็ปท็อปขึ้นเครื่องบิน อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ได้ช่วยสกัดแรงลบของตลาดในระหว่างวัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,029.47 จุด ลดลง 50.81 จุด หรือ -0.24% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,412.91 จุด ลดลง 2.91 จุด หรือ -0.12% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,203.19 จุด ลดลง 7.00 จุด หรือ -0.11%
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเมื่อคืนนี้ ภายหลังจากที่โกลด์แมน แซคส์ประกาศปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในปีนี้ รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานที่สูงเกินไป โดยหุ้นชลัมเบอร์เกอร์ ร่วงลง 1.2% หุ้นเฮสส์ เอนเนอร์จี ดิ่งลง 3.1%
ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ร่วงลง 1.7% หุ้นโฮป แบงคอร์ป ดิ่งลง 3.7% และหุ้นเฟิร์สท์ ไฟแนนเชียล แบงคอร์ป ร่วงลง 2.9%
ส่วนหุ้นกลุ่มสายการบินที่มุ่งเน้นเที่ยวบินระหว่างประเทศนั้น ต่างพากันปรับตัวลง หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐประกาศว่าอาจจะขยายมาตรการห้ามผู้โดยสารพกพาแล็ปท็อปขึ้นเครื่องบินครอบคลุมเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมดที่เข้าและออกจากสหรัฐ โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ส์ ร่วงลง 3.7% หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล ดิ่งลง 2.5% และหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ส ปรับตัวลง 1.6%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้น ซึ่งได้ช่วยจำกัดการร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์ก โดยหุ้นอเมซอนพุ่งขึ้นเหนือระดับ 1,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะปิดตลาดที่ระดับ 996.70 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.1% โดยการพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในครั้งนี้ ส่งผลให้อเมซอนมีมูลค่าตลาดสูงถึง 4.78 แสนล้านดอลลาร์ หรือ 2 เท่าของบริษัทวอล-มาร์ท และมากกว่า 15 เท่าของบริษัททาร์เก็ท
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวขึ้น 0.5% หุ้นไมโครซอฟท์ ดีดตัวขึ้น 1%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนในระหว่างวัน จากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยผลสำรวจของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.8% ในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 33 เดือน
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐ เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 4 เดือนในเดือนเม.ย. โดยดีดตัวขึ้น 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนมี.ค. โดยตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) เขตชิคาโกเดือนพ.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนเม.ย. และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)