ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 มิ.ย.) เนื่องจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีช่วยหนุนบรรยากาศการซื้อขายในตลาดให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.6% ปิดที่ 388.75 จุด ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,764.98 จุด เพิ่มขึ้น 74.54 จุด หรือ +0.59% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,261.74 จุด เพิ่มขึ้น 21.15 จุด หรือ +0.40% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,500.44 จุด ลดลง 11.43 จุด หรือ -0.15%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้น ซึ่งช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรปปิดในแดนบวก โดยหุ้นไดอะล็อก เซมิคอนดัคเตอร์ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ของบริษัทแอปเปิล อิงค์ พุ่งขึ้น 5.8% หุ้นอินเจนิโก กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายเทคโนโลยีด้านการชำระเงิน ปรับตัวขึ้น 1.7% หุ้นเทเมนอส กรุ๊ป ผู้ผลิตซอฟท์สำหรับการบริการด้านการเงิน ดีดตัวขึ้น 1.4% หุ้นเอเอ็มเอส ผู้ผลิตชิปรายใหญ่สัญชาติออสเตรีย พุ่งขึ้น 2.3% และหุ้นเอสทีไมโครอิเล็กทรอนิก ปรับตัวขึ้น 1%
หุ้นดอยซ์ ลุฟฮันซา พุ่งขึ้น 3% หลังจากเครดิต สวิส ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าลงทุนของหุ้นดังกล่าวขึ้นสู่ระดับ neutral จากระดับ underperform
นักลงทุนจับตาการประชุมธนาคารกลางอังกฤษในวันพรุ่งนี้ เวลา 18.00 น.ตามเวลาไทย และการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยนักลงทุนรอดูเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีนี้ รวมทั้งการปรับลดงบดุลจากปัจจุบันที่ระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศยูโรโซนที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป หรือ ZEW เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีลดลงสู่ระดับ 18.6 จุดในเดือนมิ.ย. จากระดับ 20.6 จุดในเดือนพ.ค. โดยดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 23.9 ซึ่งเป็นระดับเฉลี่ยในระยะยาว
ทางด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ พุ่งขึ้น 2.9% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 4 ปี จากระดับ 2.7% ในเดือนเม.ย. ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของดัชนี CPI มีสาเหตุจากการอ่อนค่าของปอนด์ ซึ่งได้ส่งผลให้ค่าครองชีพแพงขึ้นสำหรับชาวอังกฤษ