ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการเปิดเผยหลังจากตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการแล้ว
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 0.5% ปิดที่ 390.82 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,805.95 จุด เพิ่มขึ้น 40.97 จุด หรือ +0.32% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,474.40 จุด ลดลง 26.04 จุด หรือ -0.35% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,243.29 จุด ลดลง 18.45 จุด หรือ -0.35%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น 0.6% ซึ่งเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 และช่วยหนุนบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากที่หุ้นเทคโนโลยีดิ่งลงอย่างหนักเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงอย่างหนัก ภายหลังจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐปรับตัวลดลงน้อยกว่าคาด โดยหุ้นบีพี ร่วงลง 1.8% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ดิ่งลง 1.7%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองของอังกฤษ หลังจากมีรายงานว่า การทำข้อตกลงในการจัดตั้งรัฐบาลผสมภายใต้การนำของพรรคอนุรักษ์นิยมของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และนางอาร์ลีน ฟอสเตอร์ หัวหน้าพรรคสหภาพประชาธิปไตยแห่งไอร์แลนด์เหนือ (DUP) ได้ถูกเลื่อนออกไป อันเนื่องจากการเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่อพาร์ทเมนท์ เกรนเฟลล์ ทาวเวอร์ ในกรุงลอนดอนเมื่อวานนี้ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายคน
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า การทำข้อตกลงดังกล่าวอาจถูกเลื่อนออกไปเป็นสัปดาห์หน้า อันเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว และการติดภารกิจประจำวันของผู้นำทั้งสอง หลังจากสื่อทั่วไปคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ทั้งสองจะมีการทำข้อตกลงจัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อวานนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษเปิดเผยว่า อัตราว่างงานเดือนก.พ.-เม.ย. ทรงตัวอยู่ที่ 4.6% จากระดับ 3 เดือนก่อน ขณะที่จำนวนผู้ที่มีงานทำเพิ่มขึ้น 109,000 ราย สู่ระดับเกือบ 32 ล้านราย บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานของอังกฤษยังอยู่ในภาวะที่ดี
อย่างไรก็ตาม รายงานระบุว่า ค่าแรงปรับตัวลดลง โดยรายได้เฉลี่ยในช่วงเดือนก.พ.-เม.ย. ร่วงลง 0.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2