ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) จากแรงซื้อที่ส่งเข้าหนุนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มโทรคมนาคม ซึ่งเป็นหุ้นที่สามารถต้านทานวัฏจักรทางเศรษฐกิจได้ดี (defensive stocks) ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้นหลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กและซานฟรานซิสโกได้ออกมาสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐได้สกัดแรงบวกของดัชนีดาวโจนส์ และการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ฉุดดัชนี Nasdaq ปิดตลาดในแดนลบ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,409.55 จุด เพิ่มขึ้น 14.79 จุด หรือ +0.07% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,439.07 จุด เพิ่มขึ้น 0.77 จุด หรือ +0.03% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,247.15 จุด ลดลง 18.10 จุด หรือ -0.29%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดดีดตัวขึ้นเป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มที่สามารถต้านทานวัฏจักรทางเศรษฐกิจได้ดี เช่นหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มโทรคมนาคม โดยหุ้นเฟิร์สท์เอนเนอร์จี ซึ่งเป็นบริษัทสาธารณูปโภครายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 4.1% และหุ้นเอ็กเซลอน ดีดขึ้น 1.9%
หุ้นกลุ่มทรัสต์เพื่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นริมโค เรียลตี้ พุ่งขึ้น 2.7% หุ้นซีบีอาร์อี กรุ๊ป พุ่งขึ้น 3.2%
หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยดัชนีหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้น 0.5% หลังจากนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโก และนายวิลเลียมส์ ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ต่างก็ออกมาสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีนี้ เพื่อหนุนการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจสหรัฐ
ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกกล่าวว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อทำให้นโยบายการเงินกลับสู่ภาวะปกตินั้น จะช่วยให้สามารถรักษาการขยายตัวของเศรษฐกิจในอัตราที่จะดำเนินไปอย่างยั่งยืนในระยะยาว และถ้ารอนานเกินไป เศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะร้อนแรงเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาอื่นๆ และอาจถึงขั้นที่ทำให้เฟดอยู่ในสภาพที่ต้องรีบปรับนโยบายเพื่อชะลอการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
หุ้นเนสท์เล่ พุ่งขึ้น 3.9% หลังจากมีรายงานว่า เธิร์ด พอยท์ ซึ่งเป็นเฮดจ์ฟันด์ของนายดาเนียล โล๊บ มหาเศรษฐีนักลงทุนชื่อดัง ได้เข้าซื้อหุ้นมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทเนสท์เล่
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐได้สกัดแรงบวกในตลาด โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ร่วงลง 1.1% ในเดือนพ.ค. หลังจากลดลง 0.9% ในเดือนเม.ย.
ขณะที่เฟดสาขาดัลลัส เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตร่วงลง สู่ระดับ 12.3 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 23.3 ในเดือนพ.ค.
นอกจากนี้ การร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ โดยหุ้นเฟซบุ๊ก หุ้นแอปเปิล และหุ้นอัลฟาเบท ต่างก็ปรับตัวลงกว่า 1%
หุ้นยัม แบรนด์ส ปรับตัวลง 0.1% จากข่าวที่ว่าบริษัทคอลลินส์ ฟู้ดส์ ของออสเตรลีย จะเข้าซื้อร้าน KFC จำนวน 28 สาขาจากยัม แบรนด์ส
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนเม.ย.โดยเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์ และดัชนีการผลิตเดือนมิ.ย.โดยเฟดสาขาริชมอนด์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูนางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุม "Global Economic Issues" ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยนักวิเคราะห์คาดว่า นางเยลเลนจะเน้นย้ำถึงจุดยืนของเฟดที่ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป หรือการเริ่มปรับลดงบดุลของเฟดนั้น จะพิจารณาจากข้อมูลเศรษฐกิจที่เฟดได้รับ