ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (14 ก.ค.) หลังหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงตามหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ภายหลังธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการที่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปในภาพรวมปรับตัวดีขึ้นในรอบสัปดาห์
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,631.72 จุด ลดลง 9.61 จุด หรือ -0.08% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,235.31 จุด ลดลง 0.09 จุด หรือ -0.00% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,378.39 จุด ลดลง 35.05 จุด หรือ -0.47%
อย่างไรก็ดี ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.70 จุด หรือ 0.18% ปิดที่ 386.84 จุด
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่สาม โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดหุ้นกรีซที่ปรับตัวขึ้นสวนทางตลาดหุ้นหลักๆในภูมิภาค โดยนักลงทุนรอดูท่าทีของรัฐบาลที่มีต่อตลาดพันธบัตร หลังจากที่ในสัปดาห์ที่แล้วกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ได้อนุมัติเงินกู้งวดใหม่ วงเงิน 8.5 พันล้านยูโร (9.6 พันล้านดอลลาร์) ให้กับกรีซ
สำหรับภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวขึ้น 1.8% นับเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 2 เดือน โดยปัจจัยหลักนั้นมาจากการที่นางเจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าเฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ในส่วนของบรรยากาศการซื้อขายวันศุกร์นั้น หุ้นกลุ่มธนาคารในยุโรปปรับตัวลงตามทิศทางเดียวกันกับหุ้นกลุ่มธนาคารของสหรัฐ หลังการเปิดเผยผลกำไรของเจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก ที่แม้จะปรับตัวสูงขึ้น แต่รายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งกลับปรับตัวลดลงผิดไปจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ธนาคารรายใหญ่ในยุโรปมีกำหนดการเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์ต่อๆไป ซึ่งการเปิดเผยผลประกอบการที่ค่อนข้างน่าผิดหวังของธนาคารสหรัฐเมื่อคืนนี้ทำให้นักลงทุนหันมาจับตามองธนาคารฝั่งยุโรปมากขึ้น
หุ้นธนาคารรายใหญ่ในยุโรปอย่างดอยซ์แบงก์ ของเยอรมนี, บังโค ซานตานเดร์ ของสเปน และ บีเอ็นพี พาริบาส์ ของฝรั่งเศส ต่างปรับตัวลงเกือบ 1% และถ่วงดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารในตลาดหุ้นยุโรปลดลง 0.7%