ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (18 ก.ค.) หลังจากสกุลเงินยูโรพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทส่งออกของยุโรป นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.1% ปิดที่ 382.58 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย.
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,173.27 จุด ลดลง 56.90 จุด หรือ -1.09% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,430.39 จุด ลดลง 156.77 จุด หรือ -1.25% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,390.22 จุด ลดลง 13.91 จุด หรือ -0.19%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินยูโรที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนกังวลว่า การแข็งค่าของสกุลเงินยูโรจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทส่งออกของยุโรป เนื่องจากยูโรที่แข็งค่าจะทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้นสำหรับลูกค้าต่างประเทศ
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีดิ่งลงอย่างหนักกว่า 1.2% หลังจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจยุโรป หรือ ZEW เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีลดลง 1.1 จุด สู่ระดับ 17.5 จุดในเดือนก.ค. โดยดัชนีความเชื่อมั่นดังกล่าวยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 23.8 ซึ่งเป็นระดับเฉลี่ยในระยะยาว
หุ้นอีริคสัน ดิ่งลง 15.6% ซึ่งเป็นการร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2559 หลังจากบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 122.3 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 ซึ่งมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ส่วนดัชนี Stoxx 600 กลุ่มธนาคาร ร่วงลง 6% หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ธนาคารรายใหญ๋ของสหรัฐ เปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 3.95 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.39 ดอลลาร์/หุ้น แต่รายได้จากการซื้อขายตราสารหนี้ของโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลงถึง 40%
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า รัฐบาลกรีซได้เลื่อนแผนการออกพันธบัตรชุดใหม่ในตลาดพันธบัตรโลก เนื่องจากต้องรอผลการวิเคราะห์เสถียรภาพและความยั่งยืนของพันธบัตร จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)