ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าขยับขึ้นในวันนี้ บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวขึ้นในคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
ณ เวลา 19.55 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าบวก 9 จุด หรือ 0.04% สู่ระดับ 21,529 จุด
มอร์แกน สแตนลีย์ เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 ในวันนี้ โดยอยู่ในระดับสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่ทางธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการซื้อขายหุ้น รวมทั้งมีกำไรเพิ่มขึ้นจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง
ทั้งนี้ มอร์แกน สแตนลีย์เปิดเผยว่า กำไรอยู่ที่ระดับ 87 เซนต์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 76 เซนต์/หุ้น
ธนาคารยังรายงานรายได้ที่ระดับ 9.50 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.09 พันล้านดอลลาร์
ทางด้านอเมริกัน เอ็กซ์เพรส และควอลคอมม์ จะเปิดเผยผลประกอบการ หลังจากตลาดปิดทำการในวันนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาความคืบหน้าในความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการผลักดันร่างกฎหมายประกันสุขภาพผ่านวุฒิสภา
นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่า ปธน.ทรัมป์ได้เชิญวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันเข้าพบที่ทำเนียบขาวในวันนี้ หลังจากที่เมื่อวานนี้ความพยายามในการผลักดันให้มีการยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพฉบับโอบามาแคร์ได้ประสบความล้มเหลวอีกครั้ง
ความพยายามของวุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันในการลงมติเพื่อยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพ "โอบามาแคร์" ของรัฐบาลชุดก่อน โดยที่ยังไม่มีร่างกฎหมายฉบับใหม่เข้ามาบังคับใช้แทนที่นั้น ประสบกับความล้มเหลวอีกครั้ง หลังจากที่นางลิซา เมอร์คอว์สกี นางเชลลีย์ มัวร์ และนางซูซาน คอลลินส์ ซึ่งเป็นวุฒิสภาชิกจากพรรครีพับลิกันได้ประกาศที่จะคัดค้านแผนการดังกล่าวซึ่งผลักดันโดยวุฒิสมาชิกมิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากของรีพับลิกันในวุฒิสภา
นอกจากนี้ นายไมค์ ลี วุฒิสมาชิกรัฐยูทาห์ นายเจอร์รี มอร์แรน วุฒิสมาชิกรัฐแคนซัส พร้อมด้วยนายแรนด์ พอล วุฒิสมาชิกจากรัฐเคนทักกี ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่จะโหวตคัดค้านร่างกฎหมายดังกล่าวในวุฒิสภาเช่นกัน
ปัจจุบัน พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา โดยมีจำนวนวุฒิสมาชิกทั้งหมด 52 ที่นั่งจากทั้งหมด 100 ที่นั่ง แต่การออกมาแสดงจุดยืนคัดค้านของวุฒิสมาชิกดังกล่าว จะส่งผลให้พรรครีพับลิกันไม่สามารถรวบรวมคะแนนเสียงได้เพียงพอต่อการโหวตล้มเลิกกฎหมายโอบามาแคร์ในวุฒิสภาได้ เนื่องจากพรรคต้องการเสียงสนับสนุนอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง บวกกับคะแนนเสียงชี้ขาดจากรองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ ในฐานะประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง ในกรณีที่คะแนนเสียงเท่ากัน