ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 ก.ค.) โดยตลาดได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (GE) หลังจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมของสหรัฐรายนี้ เปิดเผยกำไรร่วงลงในไตรมาส 2 ขณะราคาน้ำมันที่ร่วงลงก็ได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานให้ปรับตัวลงด้วยเช่นกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,580.07 จุด ลดลง 31.71 จุด หรือ -0.15% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,472.54 จุด ลดลง 0.91 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,387.75 จุด ลดลง 2.25 จุด หรือ -0.04%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงทั้งสิ้น 0.3% ขณะที่ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 0.5% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 1.2%
นักลงทุนให้ความสนใจกับการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในช่วงปลายสัปดาห์นี้ โดยหุ้น GE ร่วงลง 2.9% หลังจากที่บริษัทเปิดเผยรายได้ดิ่งลงในไตรมาส 2 แม้โดยรวมบริษัทมีกำไรและรายได้สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์
GE ระบุว่า บริษัทมีกำไรสุทธิดิ่งลง 58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สู่ระดับ 28 เซนต์/หุ้น แต่ยังสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 25 เซนต์/หุ้น
นอกจากนี้ GE ยังเปิดเผยรายได้ที่ระดับ 2.956 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.902 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงในการซื้อขายเมื่อคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ โดยหุ้นไมโครซอฟต์ร่วงลง 0.6% แม้ทางบริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ส่วนหุ้นอีเบย์ร่วงลง 1.5% หลังจากที่บริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ด้านหุ้นกลุ่มพลังงานในดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงกว่า 1% โดยได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่ร่วงลงเกือบ 3% หลังมีรายงานคาดการณ์ว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) เพิ่มการผลิตน้ำมันในเดือนนี้ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และประเทศนอกกลุ่มโอเปก ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะหารือกันเกี่ยวกับมาตรการปรับลดกำลังการผลิตที่ดำเนินการในปัจจุบัน
ส่วนหุ้นคอลเกต-ปาล์มโอลีฟปรับตัวขึ้น 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 ซึ่งมีกำไรและยอดขายต่ำกว่าคาดการณ์ โดยคอลเกต-ปาล์มโอลีฟระบุว่า บริษัทมีกำไร 59 เซนต์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 72 เซนต์/หุ้น
นอกจากนี้ คอลเกต-ปาล์มโอลีฟยังเปิดเผยยอดขายที่ระดับ 3.83 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.90 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี และภาคการผลิตของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1% หลังเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 โดยมีกำไร และรายได้ดีกว่าคาดการณ์
ฮันนีเวลล์ระบุว่า บริษัทมีกำไร 1.80 ดอลลาร์/หุ้น เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.78 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 1.008 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.89 พันล้านดอลลาร์
หุ้นสเก็ตเชอร์สปรับตัวขึ้น 0.7% หลังจากที่ร่วงลงก่อนหน้านี้ ขณะที่หุ้นวีซ่าปรับตัวขึ้น 1.5% หลังเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าระดับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางการเมือง เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า การสืบสวนคดีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีที่ผ่านมานั้น จะส่งผลกระทบต่อการบริหารงานของประธานาธิบโดนัลด์ ทรัมป์ โดยนายโรเบิร์ต มุลเลอร์ ที่ปรึกษาพิเศษซึ่งรับผิดชอบการสืบสวนประเด็นรัสเซีย ได้ขยายการสืบสวนไปที่เรื่องการเงินของครอบครัวทรัมป์ นอกเหนือจากเรื่องความเกี่ยวข้องกับรัสเซีย
นอกเหนือไปจากข่าวฉาวดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ยังต้องเผชิญกับคำถามที่ว่า "เขาจะสามารถผลักดันนโยบายเศรษฐกิจของตนเองได้หรือไม่" หลังจากที่คว้าน้ำเหลวไปในการผลักดันกฏหมายประกันสุขภาพก่อนหน้านี้