ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 ก.ค.) โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ หลังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินยูโร และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่น่าผิดหวัง
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 3.91 จุด หรือ -1.02% ปิดที่ระดับ 380.16 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดวันที่ 12,240.06 จุด ลดลง 207.19 จุด หรือ -1.66% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,117.66 จุด ลดลง 81.56 จุด หรือ -1.57% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,452.91 จุด ลดลง 34.96 จุด หรือ -0.47%
สำหรับภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี Stoxx Europe 600 ปรับตัวลง 1.9%
หุ้นยุโรปปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากวันพฤหัสบดี ขณะที่สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 2 ปี เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ หลังจากที่นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยว่า ECB จะทำการหารือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวงเงิน QE ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ พร้อมแย้มว่า ECB พร้อมที่จะเพิ่มวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หากมีความจำเป็น
นอกจากนี้ ECB ได้ประกาศคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนธ.ค.
นักวิเคราะห์ระบุว่า การที่ ECB ส่งสัญญาณปรับลดวงเงินการซื้อพันธบัตรนั้น ได้ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นในกลุ่มยูโรโซน อีกทั้งการที่สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นยังทำให้ราคาหุ้นยุโรปสูงขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นในกรอบจำกัดอยู่ช่วงหนึ่ง หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยผลสำรวจว่า นักวิเคราะห์ได้ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อในยูโรโซนลง 0.1% สำหรับปี 2017-2019 ส่วนคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 1.8%
หุ้นของบริษัทวาลีโอ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำจากฝรั่งเศส ร่วงลงถึง 6.9% หลังทางบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าระดับคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
หุ้นฟิลิปส์ ไลท์ติ้ง เอ็นวี ร่วงลง 6.9% หลังทางบริษัทเปิดเผยยอดขายในไตรมาส 2 ที่ร่วงลงแตะที่ 1.70 พันล้านยูโร
หุ้นแอร์ ฟรานซ์ ดิ่งลง 8.31%
หุ้นไชร์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของอังกฤษ ปรับตัวขึ้น 1.86% ขณะที่หุ้นโวดาโฟน ปรับตัวขึ้น 0.5% แม้จะบริษัทเปิดเผยผลประกอบการในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 2 ที่ 1.147 หมื่นล้านยูโร ซึ่งลดลงจากระดับของปีก่อนหน้าที่ 1.187 หมื่นล้านยูโร