ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (24 ก.ค.) โดยได้รับปัจจัยลบจากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้และปีหน้า และจากรายงานที่ว่า ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐร่วงลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq ปิดตลาดทำนิวไฮ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างคึกคัก ก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงเฟซบุ๊ก จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 21,513.17 จุด ลดลง 66.90 จุด หรือ -0.31% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,410.81 จุด เพิ่มขึ้น 23.05 จุด หรือ +0.36% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,469.91 จุด ลดลง 2.63 จุด หรือ -0.11%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนลบ หลังจาก IMF ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐลง 0.2% สู่ระดับ 2.1% ในปีนี้ และปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปีหน้าลง 0.4% สู่ระดับ 2.1%
IMF เปิดเผยในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับช่วงเวลาและแนวทางการเปลี่ยนแปลงนโยบายการคลังของรัฐบาลสหรัฐนั้น ส่งผลให้เกิดความไม่เชื่อมั่นว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถผลักดันมาตรการเศรษฐกิจให้ผ่านสภาคองเกรสได้หรือไม่
นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ยังได้รับปัจจัยกดดันหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 1.8% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.52 ล้านยูนิต ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะปรับตัวลงเพียง 1% สู่ระดับ 5.58 ล้านยูนิต หลังจากที่ราคาบ้านพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากเกิดภาวะขาดแคลนบ้านในตลาด
หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ร่วงลง 1.7% ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดดัชนี S&P500 และดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบ สืบเนื่องมาจากความวิตกกังวลที่ว่าจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อาจเผชิญกับแข่งขันด้านราคาจากบริษัทคู่แข่ง ในการจำหน่ายยารักษาโรคไขข้ออักเสบ
หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ ปิดตลาดดิ่งลง 4.2% เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรในช่วงท้ายตลาด หลังจากที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งในช่วงแรก
อย่างไรก็ตาม การดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีช่วยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดตลาดทำนิวไฮ โดยหุ้นแอปเปิล อิงค์ หุ้นเฟซบุ๊ก และหุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ต่างพากันปิดตลาดในแดนบวก โดยนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างคึกคัก ก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงอเมซอน เฟซบุ๊ก และอัลฟาเบท
รายงานระบุว่า บริษัทราว 73% ในดัชนี S&P 500 ซึ่งได้ประกาศผลประกอบการจนถึงสัปดาห์ที่แล้วนั้น มีผลประกอบการสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ ขณะที่ 77% มียอดขายสูงกว่าคาด
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า บริษัทจดทะเบียนจะมีการขยายตัวของผลประกอบการโดยเฉลี่ย 6.2%
นักลงทุนจับตาการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 25-26 ก.ค.นี้ ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า คณะกรรมการ FOMC จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.00-1.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาปัจจัยการเมืองในสหรัฐ หลังจากที่นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยจะมีผลในเดือนก.ย. หลังจากที่เขาแสดงท่าทีคัดค้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในการแต่งตั้งนายแอนโธนี สคารามุคซี เป็นผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารประจำทำเนียบขาว
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ราคาบ้านเดือนพ.ค.โดยเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จาก Conference Board, ยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย., ดุลการค้าเดือนมิ.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย. และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2