ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (3 ส.ค.) ขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน และข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงยอดสั่งซื้อภาคโรงงานที่พุ่งขึ้นมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ โดยปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 7 อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบ เนื่องจากมีแรงขายเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,026.10 จุด เพิ่มขึ้น 9.86 จุด หรือ +0.04% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,472.16 จุด ลดลง 5.41 จุด หรือ -0.22% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,340.34 จุด ลดลง 22.30 จุด หรือ -0.35%
ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปิดตลาดในแดนบวก เนื่องจากนักลงทุนขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นเทสลา มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐ พุ่งขึ้น 6.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่ดีกว่าคาด เพราะได้แรงหนุนจากยอดขายของรถยนต์ Model S และ Model X SUV
ทั้งนี้ เทสลาระบุว่า บริษัทมีตัวเลขขาดทุนต่อหุ้นที่ระดับ 1.33 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1.82 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 2.79 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 2.51 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นอเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุ๊ป (AIG) ปรับตัวขึ้น 0.2% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาด
หุ้นเคลล็อก ผู้ผลิตและจำหน่ายซีเรียลชื่อดังของสหรัฐ ทะยานขึ้น 4.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ที่ระดับ 282 ล้านดอลลาร์ หรือ 83 เซนต์ต่อหุ้น เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ระดับ 280 ล้านดอลลาร์ หรือ 79 เซนต์ต่อหุ้น
หุ้นฟิทบิท ผู้ผลิตสายรัดข้อมือที่ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดชีพจรและการเผาผลาญแคลอรี พุ่งขึ้น 15.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส และเตรียมเปิดตัวสมาร์ทวอชในเร็วๆนี้
นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ยังได้ปัจจัยหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงยอดสั่งซื้อภาคโรงงานที่พุ่งขึ้น 3.0% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2016 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.9% ส่วนจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 5,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 240,000 ราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 242,000 ราย
ขณะที่ผลการสำรวจของไอเอชเอส มาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 54.7 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. จากระดับ 54.2 ในเดือนมิ.ย.
อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 ปิดในแดนลบ โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 8.7% หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลง 1.1% ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง นำโดยหุ้นเอปเปิล ร่วงลง 1% และหุ้นอเมซอน ปรับตัวลง 0.9% นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ค.ในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ซึ่งอาจบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานเดือนก.ค.จะเพิ่มขึ้นราว 180,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนก.ค.จะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 4.3% จากระดับ 4.4% ในเดือนมิ.ย.