ตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนลบเมื่อคืนนี้ (5 ก.ย.) จากแรงกดดันของสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ สืบเนื่องจากความวิตกในสถานการณ์ตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี หลังเกาหลีเหนือได้ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกจากนี้ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากข้อมูลภาคบริการที่อ่อนแอของอังกฤษ
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 38.55 จุด หรือ -0.52% ปิดที่ 7,372.92 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ดัชนี FTSE 100 ยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ในคาบสมุทรเกาหลี โดยนักวิเคราะห์ตลาดจากบริษัทหลักทรัพย์โอแอนด์เอ กล่าวว่า นักลงทุนมีแนวโน้มระมัดระวังการซื้อขายในสินทรัพย์เสี่ยง เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่า ปัญหาขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐจะไม่สามารถแก้ไขด้วยวิธีทางการทูตในระยะอันใกล้นี้ ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ได้หันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเช่นทองคำ สกุลเงินฟรังก์สวิสและเยนกันมากขึ้น
เมื่อวานนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซียได้ออกมาเตือนว่า "โครงการพัฒนาขีปนาวุธของเกาหลีเหนืออาจนำไปสู่หายนะของโลก" ขณะที่เจ้าหน้าที่เกาหลีเหนือข่มขู่ว่า เกาหลีเหนือกำลังเตรียมการที่จะมอบ "ของขวัญ" ให้กับสหรัฐอีก
นอกจากนี้ตลาดหุ้นลอนดอนยังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยสกุลเงินปอนด์ทะยานขึ้น +0.0767% แตะ 1.3020 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นการพุ่งทะลุระดับ 1.30 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยดอลลาร์อ่อนค่าลงสืบเนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีและการที่นางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมาส่งสัญญาณว่า เฟดอาจจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อสหรัฐกำลังปรับตัวลง และอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของอังกฤษที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต/ซีไอพีเอส รายงานว่า ดัชนี PMI ภาคบริการของสหราชอาณาจักรอยู่ที่ระดับ 53.2 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือน และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 53.5