ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในวันนี้ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคาร
ณ เวลา 20.35 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 22,235.10 จุด เพิ่มขึ้น 30.31 จุด หรือ 0.15%
หุ้นกลุ่มการเงินพุ่งขึ้นนำตลาดวันนี้ ขณะที่หุ้นโบอิ้งทะยานขึ้นมากที่สุดในการซื้อขายช่วงแรก
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น 3.7% ในสัปดาห์นี้ หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่มากกว่าคาด และทำให้นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนก.ค.
ดัชนี CPI ที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าว บ่งชี้ถึงภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ หลังจากปรับขึ้นในเดือนมี.ค. และมิ.ย.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 1.9% ในเดือนส.ค. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.8% หลังจากปรับตัวขึ้น 1.7% ในเดือนก.ค.
นักวิเคราะห์ระบุว่า ถึงแม้ดัชนี CPI ยังคงต่ำกว่าเป้า 2% ของเฟด แต่การฟื้นตัวขึ้นในเดือนส.ค. ก็ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 2% ในไตรมาส 4
CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นถึง 52.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้
นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 19-20 ก.ย. โดยคาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าว แต่จะประกาศปรับลดงบดุลจากระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกร่วงลง 0.2% ในเดือนส.ค. หลังจากขยับขึ้น 0.3% ในเดือนก.ค.
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค.
ยอดค้าปลีกที่ร่วงลงในเดือนส.ค ได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของยอดขายรถยนต์
ยอดขายรถยนต์ลดลง 1.6% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. โดยถูกกระทบจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์
เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนส.ค.
ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ร่วงลง 0.2% ในเดือนส.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค.