ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 56.39 จุด รับ "ทรัมป์" เผยแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday September 28, 2017 06:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (27 ก.ย.) ขานรับแผนการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยทรัมป์เชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงินที่ดีดตัวขึ้น หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของสหรัฐพุ่งขึ้นขานรับกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,340.71 จุด เพิ่มขึ้น 56.39 จุด หรือ +0.25% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,507.04 จุด เพิ่มขึ้น 10.20 จุด หรือ +0.41% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,453.26 จุด เพิ่มขึ้น 73.10 จุด หรือ +1.15%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กดีดตัวขึ้นหลังจากปธน.ทรัมป์ได้เปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีเมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยทรัมป์เสนอให้มีการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 20% จากปัจจุบันที่ระดับ 35% และลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดลงสู่ระดับ 35% จากปัจจุบันที่ 39.6% โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐ กระตุ้นการจ้างงาน และสนับสนุนกลุ่มคนทำงานและภาคครัวเรือนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การเปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่สุดในรอบ 30 ปีครั้งนี้ มีขึ้นในระหว่างที่ปธน.ทรัมป์กล่าวปราศรัยที่เมืองอินเดียนาโพลิส โดยนอกเหนือจากการเสนอให้ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคลลแล้ว ปธน.ทรัมป์ยังได้เปิดเผยแผนการปรับลดภาษีสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก และยกเลิกนโยบายลดหย่อนภาษีสำหรับบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งรวมถึงกลุ่มบุคคลที่ได้ประโยชน์จากนโยบายลดหย่อนภาษีในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต

หุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.42% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ดีดตัวขึ้น 2.1% หุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 1.58%

ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.291% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี เพิ่มขึ้นแตะระดับ 2.843% เมื่อคืนนี้ สืบเนื่องมาจากถ้อยแถลงครั้งล่าสุดของนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ซึ่งมีขึ้นเมื่อที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ได้กระตุ้นให้เกิดกระแสคาดการณ์เป็นวงกว้างว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้

CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 80% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้

นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงหนุนจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนส.ค. โดยได้ปัจจัยหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ และรถยนต์

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อทิศทางอัตราดอกเบี้ยและหุ้นกลุ่มบริษัทที่อยู่ในระหว่างการจ่ายเงินปันผล ต่างก็ปรับตัวลง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ร่วงลง 0.84% ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภค ปรับตัวลง 0.73% และดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค ร่วงลง 1.34%

หุ้นไนกี้ ร่วงลง 1.92% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายไตรมาสล่าสุดปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 7 ปี นอกจากี้ ทางบริษัทคาดการณ์ว่ายอดขายจะปรับตัวลงอีก เนื่องจากผลประกอบการที่อ่อนแอของธุรกิจในอเมริกาเหนือ

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 2/2560, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนส.ค. และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ