ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 ต.ค.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพปรับตัวลง หลังจากมีรายงานว่า บริษัทอเมซอนดอทคอม อิงค์ กำลังพิจารณาการลงทุนในธุรกิจเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงอย่างหนักของหุ้นเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) และจากการที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่ธนาคารรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน และซิตี้กรุ๊ป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 22,761.07 จุด ลดลง 12.60 จุด หรือ -0.06% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,544.73 จุด ลดลง 4.60 จุด หรือ -0.18% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,579.73 จุด ลดลง 10.45 จุด หรือ -0.16%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนลบติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ โดยได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพ โดยดัชนีหุ้นกลุ่มสุขภาพปรับตัวลง 0.67% นำโดยหุ้นเอ็กซ์เพรส สคริปส์ โฮลดิงส์ ดิ่งลง 5% หุ้นเมดโทรนิค ร่วงลง 3.61%
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธุรกิจเพื่อสุขภาพร่วงลงอย่างหนักนั้น มาจากรายงานที่ว่า บริษัทอเมซอนดอทคอม อิงค์ กำลังพิจารณาการลงทุนในธุรกิจเพื่อสุขภาพ หลังจากที่อเมซอนได้เข้าซื้อกิจการบริษัทโฮลฟู้ดส์ มาร์เก็ต อิงค์ ด้วยวงเงิน 1.37 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 42 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้มีกระแสคาดการณ์ว่า อเมซอนอาจตั้งร้านวางจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพและเวชภัณฑ์
หุ้น GE ร่วงลง 3.9% หลังจากมีรายงานว่า GE ได้แต่งตั้งนายเอ็ดเวิร์ด การ์เดน ผู้บริหารด้านการลงทุนของไทรอัน ฟันด์ เมเนจเมนท์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ GE ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะบริหารของบริษัท
หุ้นเอเอ็มซี เอนเตอร์เทนเมนท์ โฮลดิงส์ และหุ้นเรกัล เอนเตอร์เทนเมนท์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตภาพยนตร์ ต่างก็ร่วงลงกว่า 4% หลังจากยอดจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์เรื่อง "Blade Runner 2049" ออกมาต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม หุ้นที่มีทุนจดทะเบียนสูงในตลาดบางตัวได้ปรับฐานขึ้น โดยหุ้นวอลมาร์ท ดีดตัวขึ้น 1.9% หลังจากมีรายงานว่าผลประกอบการของบริษัทมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะที่หุ้น Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ พุ่งขึ้น 2.2%
นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่ธนาคารรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป, ธนาคารแบล็คร็อค, แบงก์ ออฟ อเมริกา และเวลส์ ฟาร์โก
สำนักข่าวซินหัวรายงานโดยอ้างผลสำรวจของธอมสัน รอยเตอร์ว่า ผลกำไรในไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น 4.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี และคาดว่ารายได้ในไตรมาส 3 จะเพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ รายงานการประชุมประจำวันที่ 19-20 ก.ย.ของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.ย., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ย., ยอดค้าปลีกเดือนก.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน