ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) หลังนักลงทุนซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐและรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 30.71 จุด หรือ 0.13% ปิดที่ 22,871.72 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 2.24 จุด หรือ 0.09% ปิดที่ 2,553.17 จุด ดัชนี Nasdaq บวก 14.29 จุด หรือ 0.22% ปิดทำนิวไฮที่ 6,605.80 จุด
สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 0.4% ดัชนี S&P 500 บวก 0.2% ดัชนี Nasdaq บวก 0.2%
หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 1.5% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ร่วงลง 2.8%
แบงก์ ออฟ อเมริกา เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ขณะที่เวลส์ ฟาร์โก เปิดเผยว่า ทางธนาคารมีกำไรในไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ แต่มีรายได้ต่ำกว่าคาด โดยมีรายได้ 2.193 หมื่นล้านดอลลาร์ และกำไร 1.04 ดอลลาร์/หุ้น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจนั้น กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทะยานขึ้น 0.6% หลังจากดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.
ดัชนี CPI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้น 13.1% ของราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2552 หลังจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์พัดถล่มรัฐเท็กซัสของสหรัฐ จนทำให้โรงกลั่นน้ำมันจำนวนมากต้องปิดการดำเนินงานชั่วคราว
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2558 หลังจากขยับลง 0.1% ในเดือนส.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนก.ย.
ยอดค้าปลีกที่ทะยานขึ้นในเดือนก.ย. ได้รับผลบวกจากการฟื้นฟูบูรณะเขตประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์และเออร์มา ซึ่งทำให้มีความต้องการซื้อวัสดุก่อสร้างและรถยนต์ นอกจากนั้นยังได้แรงหนุนจากรายได้ของสถานีบริการน้ำมันที่พุ่งขึ้น หลังราคาน้ำมันดีดตัวอันเนื่องมาจากภาวะขาดแคลนพลังงานหลังพายุเฮอร์ริเคนถล่ม
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 101.1 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี โดยสูงกว่าระดับ 95.3 ในเดือนก.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นายริชาร์ด เคอร์ติน หัวหน้านักวิเคราะห์สำหรับการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค กล่าวว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีแนวโน้มขยายตัวไปจนถึงกลางปีหน้า ซึ่งจะเป็นการขยายตัวยาวนานที่สุดนับตั้งแต่กลางทศวรรษ 1800