ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (25 ต.ค.) โดยดาวโจนส์ และ S&P500 ร่วงลงหนักสุดในรอบกว่า 7 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากตลาดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง ซึ่งรวมถึงบริษัทเอเอ็มดี ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาการเปิดเผยชื่อว่าที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งความคืบหน้าในการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษีของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,329.46 จุด ร่วงลง 112.30 จุด หรือ -0.48% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,563.89 จุด ลดลง 34.54 จุด หรือ -0.52% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,557.15 จุด ลดลง 11.98 จุด หรือ -0.47%
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ มาจากการที่นักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดัชนีดาวโจนส์ทะยานขึ้นทำนิวไฮเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนบางแห่ง โดยบริษัทเอเอ็มดี ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐได้เปิดเผยผลประกอบการที่ดีขึ้นไตรมาส 3 แต่ได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาส 4 ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นเอเอ็มดีปิดตลาดร่วงลงอย่างหนักถึง 14% เมื่อคืนนี้
ทั้งนี้ เอเอ็มดีเปิดเผยว่า รายได้ในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1.64 พันล้านดอลลาร์ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ระดับ 1.31 พันล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เอเอ็มดีคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาส 4 จะลดลงราว 12%-18%
หุ้นชิโปเล่ (Chipotle) แบรนด์ร้านอาหารเม็กซิกันชื่อดัง ร่วงลง 15% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.13 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้ว่าเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ระดับ 1.04 พันล้านดอลลาร์ แต่ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.14 พันล้านดอลลาร์
หุ้นโคคา โคล่า ปรับตัวลง 0.28% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 3 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ก็ตาม โดยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 50 เซนต์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 49 เซนต์ ขณะที่รายได้อยู่ที่ 9.08 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 8.72 พันล้านดอลลาร์
หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.85% แม้ว่าบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาส 3 สูงกว่าคาดการณ์เช่นกัน โดยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 2.72 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.66 ดอลลาร์ ขณะที่รายได้อยู่ที่ระดับ 2.43 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.39 หมื่นล้านดอลลาร์
ทางการสหรัฐได้เปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ แต่ก็ไม่สามารถหนุนตลาดให้ปิดในแดนบวกได้ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ย.พุ่งขึ้น 18.9% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 667,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2550 หลังจากแตะระดับ 561,000 ยูนิตในเดือนส.ค.
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 2.2% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนส.ค. โดยการทะยานขึ้นของยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนได้รับปัจจัยหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อเครื่องบินพาณิชย์ และรถยนต์
นักลงทุนยังคงจับตาผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ โดยนางซาราห์ แซนเดอร์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า ปธน.ทรัมป์จะประกาศรายชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานเฟดในไม่ช้า พร้อมระบุว่า นายเจอโรม พาวเวล ผู้ว่าการเฟด และนายจอห์น เทย์เลอร์ นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เป็น 2 ตัวเก็งที่ปธน.ทรัมป์พิจารณาคัดเลือกเป็นประธานเฟด
ขณะเดียวกันนักลงทุนยังติดตามความคืบหน้าในการผลักดันมาตรการปฏิรูปภาษี โดยรายงานล่าสุดระบุว่า พรรครีพับลิกันเตรียมเปิดเผยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีภายในวันที่ 1 พ.ย. โดยการเปิดเผยร่างกฎหมายดังกล่าวจะมีขึ้น หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจะลงมติเกี่ยวกับแผนงบประมาณที่ผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภา ในพฤหัสบดีนี้ตามเวลาสหรัฐ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ย., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ย., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค. จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 3