ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงกว่า 1% เมื่อคืนนี้ (25 ต.ค.) เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาด โดยเงินปอนด์ดีดตัวขึ้นจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอังกฤษขยายตัวแข็งแกร่งขึ้นในไตรมาส 3
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,44725.21 จุด ลดลง 79.33 จุด หรือ -1.05%
ตลาดหุ้นลอนดอนได้รับปัจจัยกดดันจากเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้น หลังจากมีการคาดการณ์ว่า BoE อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี ในการประชุมสัปดาห์หน้า หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) รายงานว่า GDP ของอังกฤษขยายตัวที่ระดับ 0.4% ในไตรมาสที่ 3 สูงกว่าไตรมาสที่ 2 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.3% และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
เมื่อเทียบรายปี เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัว 1.5% ในไตรมาส 3 โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของภาคการผลิตและบริการ รวมทั้งความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมรถยนต์
นักลงทุนในตลาดคาดการณ์ว่า ขณะนี้มีความเป็นไปได้ 84% ที่ BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.5% ในการประชุมวันที่ 2 พ.ย. หลังจากที่ได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.25% ในเดือนมิ.ย.ปีที่แล้ว หลังการทำประชามติของอังกฤษเพื่อแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
การแข็งค่าของเงินปอนด์ได้ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทข้ามชาติ โดยหุ้นจีเคเอ็น ดิ่งลง 1.4% หุ้นเฟอร์กูสัน ร่วงลง 1.7% และหุ้นเรคคิท เบนคีเซอร์ ปรับตัวลง 0.3%
หุ้นแกล็คโซสมิธไคลน์ ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของอังกฤษ ร่วงลง 5.5% หลังจากทีมบริหารของบริษัทได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการและการจ่ายเงินปันผลของบริษัท