ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (9 พ.ย. ) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงบริษัทเบอร์เบอร์รี นอกจากนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปซบเซาลงด้วย
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.1% ปิดที่ 390.07 จุด ซึ่งเป็นการร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย.ปีนี้
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,182.56 จุด ร่วงลง 199.86 จุด หรือ -1.49% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,484.10 จุด ลดลง 45.62 จุด หรือ -0.61% และดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,407.75 จุด ลดลง 63.68 จุด หรือ -1.16%
ตลาดหุ้นยุโรปได้รับปัจจัยลบจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยบริษัทเบอร์เบอร์รี ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าหรูรายใหญ่ของอังกฤษ เปิดเผยว่า ยอดขายของบริษัทอาจจะยังไม่เติบโตจนกว่าจะถึงปีงบการเงิน 2564 โดยถ้อยแถลงดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นเบอร์เบอร์รีร่วงลง 10% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในรอบ 5 ปี
หุ้นกลุ่มค้าปลีกชั้นนำอย่างเซนส์บิวรี ร่วงลง 1.8% ภายหลังจากเชนซูเปอร์มาร์เก็ตรายนี้ได้ปรับลดการจ่ายเงินปันผล หลังรายงานผลกำไรก่อนหักภาษีร่วงลง 41% ในงวดครึ่งปีแรกของปีนี้
หุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลงจากแรงกดดันของรายงานผลการสำรวจของ RICS โดยหุ้นเพอร์ซิมมอน ร่วงลง 4% หุ้นบาร์ราตต์ เดเวลลอปเมนต์ส ดิ่งลง 3.6% และหุ้นเทย์เลอร์ วิมปีย์ ลดลง 2.9%
หุ้นแอสตราเซเนกา ขยับลง 0.6% ถึงแม้ผู้ผลิตเวชภัณฑ์รายใหญ่รายนี้จะเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานพุ่งขึ้นถึง 12% สู่ระดับ 1.15 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3
นอกจากนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปซบเซาลงด้วย โดยดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงหลังจากหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์รายงานว่า สมาชิกพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาเสนอให้มีการชะลอการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 35% สู่ระดับ 20% ออกไปอีก 1 ปี จนถึงปี 2562
ทั้งนี้ การชะลอการบังคับใช้มาตรการปรับลดอัตราภาษีดังกล่าว ถือเป็นการสวนทางความตั้งใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการให้การปรับลดอัตราภาษีมีผลบังคับใช้โดยทันทีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ