ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ (14 พ.ย.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบดิ่งลงเกือบ 2% นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากการร่วงลงอย่างหนักของหุ้นเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) รวมทั้งความวิตกกังวลเกี่ยวกับความล่าช้าในการบังคับใช้มาตรการปฏิรูปภาษีของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,409.47 จุด ลดลง 30.23 จุด หรือ -0.13% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,578.87 จุด ลดลง 5.97 จุด หรือ -0.23% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,737.87 จุด ลดลง 19.72 จุด หรือ -0.29%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ตลาดนิวยอร์กดิ่งลงเกือบ 2% เมื่อคืนนี้ ภายหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ปรับลดคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันราว 100,000 บาร์เรล/วันในปีนี้ และปีหน้า สู่ระดับ 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน และ 1.3 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลำดับ
ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 1.5% ขณะที่หุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวลง 0.8% และหุ้นโคโนโคฟิลิปส์ ร่วงลง 2.5%
หุ้น GE ร่วงลง 5.9% และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบ จากการที่นักลงทุนผิดหวังต่อแผนการปรับโครงสร้างบริษัทและการปรับลดการจ่ายเงินปันผล โดย GE แถลงว่า ทางบริษัทจะปรับลดการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสลง 50% สู่ระดับ 12 เซนต์/หุ้น จากเดิมที่ 24 เซนต์/หุ้น โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนธ.ค.
หุ้นโฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ดีดตัวขึ้น 1.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.84 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.82 ดอลลาร์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่เจ้าของบ้านที่ได้รับความเสียหายจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มา มีความต้องการซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า การบังคับกฎหมายปฏิรูปภาษีของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นไปอย่างล่าช้า หลังจากสมาชิกพรรครีพับลิกันในวุฒิสภาเสนอให้มีการชะลอการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 35% สู่ระดับ 20% ออกไปอีก 1 ปี จนถึงปี 2562 นอกจากนี้ ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับของวุฒิสภายังมีเนื้อหาแตกต่างจากฉบับของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอาจทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยสภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดลงมติต่อร่างกฎหมายดังกล่าวในสัปดาห์นี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดและส่งผลต่อภาวะการซื้อขายเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค.เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้รับแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของราคาในภาคบริการ ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหาร,พลังงาน และภาคบริการ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้เพิ่มขึ้น 0.2% เป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน
นักลงทุนจับตาการประชุมเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อย่างใกล้ชิด หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายคนได้ออกมาส่งสัญญาณสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ โดยล่าสุดหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สรายงานว่า นายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานเฟด สาขาดัลลัส กำลังพิจารณาสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเฟดเดือนหน้า ขณะที่นายแพทริค ฮาร์เกอร์ ประธานเฟด สาขาฟิลาเดลเฟีย ส่งสัญญาณว่า เขาอาจจะสนับสนุนให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า แม้เขายังคงกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐก็ตาม นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนพ.ย.จากเฟดนิวยอร์ก, ยอดค้าปลีกเดือนต.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนต.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ย., ราคานำเข้าและส่งออกเดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาก่อสร้างเดือนต.ค.