ดัชนีตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบสองเดือนเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) ด้วยแรงกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นขานรับกระแสคาดหวังที่ว่า การเจรจา Brexit ระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรป (EU) จะมีความคืบหน้าที่สำคัญ
ดัชนี FTSE 100 ลดลง 66.89 จุด หรือ -0.90% ปิดที่ 7,326.67 จุด
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเมื่อคืนนี้ ได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ หลังหนังสือพิมพ์เดอะ ไทม์สของอังกฤษรายงานว่า รัฐบาลสหราชอาณาจักรใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงในประเด็นเกี่ยวกับไอร์แลนด์เหนือกับคณะผู้แทนเจรจาของ EU ซึ่งจะช่วยลดความตึงเครียดเกี่ยวกับปัญหาเขตแดนระหว่างสหราชอาณาจักรกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์
ทั้งนี้สหภาพยุโรปได้ออกมาแสดงความกังวลก่อนหน้านี้ว่า EU และอังกฤษจำเป็นต้องสะสางปัญหาพรมแดนกับไอร์แลนด์ให้เสร็จสิ้นก่อนที่สองฝ่ายจะสามารถเดินหน้ากระบวนการเจรจา Brexit เพื่อตกลงกันในประเด็นอื่นๆต่อไป ทั้งในเรื่องของการค้า, กรอบเวลาในการเปลี่ยนผ่านในช่วง Brexit, สิทธิพลเมือง EU ในอังกฤษ และขนาดของร่างกฎหมาย Brexit ฉบับสุดท้าย
ค่าเงินปอนด์ทะยานขึ้นแตะระดับ 1.3498 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3410 ดอลลาร์ที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้ส่งผลกระทบต่อหุ้นบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน เนื่องจากเงินรายได้ราว 75% ของบริษัทเหล่านี้มาจากธุรกิจในต่างประเทศ
หุ้นบริษัทจดทะเบียนที่น่าจับตา หุ้นบีเออี ซิสเต็มส์ พุ่งขึ้น 1.9% หลังบริษัทผู้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ยักษ์ใหญ่รายนี้เปิดเผยว่า มาตรฐานการบัญชีใหม่จะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทในปีงบการเงิน 2561 หรือหลังจากนั้น
หุ้นเพอร์ซิมมอน บริษัทสร้างบ้านรายใหญ่ ร่วงลง 2% หลังเนชั่นไวด์เปิดเผยราคาบ้านในสหราชอาณาจักรที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด