ตลาดหุ้นยุโรปปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (11 ธ.ค.) เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้สร้างแรงกดดันต่อตลาด อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดตลาดดีดตัวขึ้น เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นบริษัทข้ามชาติ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับลง 0.05% ปิดที่ 389.05 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,123.65 จุด ลดลง 30.05 จุด หรือ -0.23% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,386.83 จุด ลดลง 12.26 จุด หรือ -0.23% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,453.48 จุด เพิ่มขึ้น 59.52 จุด, +0.80% หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นไดอะล็อก เซมิคอนดัคเตอร์ ร่วงลง 3.2% หุ้นเอเอ็มเอส ดิ่งลง 1.4% และหุ้นยูบีซอฟท์ เอนเตอร์เทนเมนท์ ร่วงลง 3.1%
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเป็นส่วนใหญ่ โดยหุ้นเอชเอสบีซี พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เพิ่มขึ้น 1.7% หุ้นบาร์เคลย์ส เพิ่มขึ้น 1.1% แต่หุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ และหุ้นลอยด์ แบงกิ้ง กรุ๊ป ปรับตัวลง 0.1% และ 0.2% ตามลำดับ
ขณะที่หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่อย่างหุ้นบีเออี ซิสเต็มส์ ปิดทรงตัว หลังพุ่งขึ้นในระหว่างวันจากรายงานข่าวที่ว่า บีเออี ซิสเต็มส์ ได้ลงนามในข้อตกลงจัดหาเครื่องบินขับไล่แบบยูโรไฟเตอร์ ไทฟูน ให้แก่กองทัพอากาศกาตาร์ จำนวน 24 ลำ มูลค่าประมาณ
ส่วนตลาดหุ้นลอนดอนปิดในแดนบวก สวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆในยุโรป โดยได้รับปัจจัยบวกจากสกุลเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มบริษัทข้ามชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยสกุลเงินปอนด์อ่อนค่าลงหลังมีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ของอังกฤษจะยอมรับข้อเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาเพื่อตรวจสอบการแก้ไขเนื้อหาในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสหภาพยุโรปอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยคณะกรรมธิการชุดดังกล่าวจะตรวจสอบดูว่า รัฐบาลได้ใช้อำนาจ “Henry VIII" เกินขอบเขตหรือไม่ ในการอนุญาตให้นางเมย์และคณะรัฐมนตรีปรับแก้กฎหมายได้โดยที่ไม่ต้องรอการอนุมัติจากรัฐสภา