ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (14 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในกระบวนการที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง หลังจากธนาคารกลางอังกฤษมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวานนี้
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,448.12 จุด ลดลง 48.39 จุด หรือ -0.65%
สถานการณ์การเมืองในอังกฤษได้กลับมาเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นอีกครั้ง หลังจากข้อเสนอของรัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของนางเทเรซา เมย์ ไม่ผ่านความเห็นของรัฐสภา โดยข้อเสนอดังกล่าวครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายที่อังกฤษจะต้องจ่ายให้กับสภาพยุโรปก่อนที่จะแยกตัวเป็นอิสระ
ทางด้านธนาคารกลางอังกฤษมีมติด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ 9-0 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า ธนาคารกลางอังกฤษจะใช้เวลารออีกเกือบหนึ่งปีก่อนที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งเท่ากับว่า ธนาคารกลางอังกฤษจะคุมเข้มนโยบายการเงินในจังหวะที่เชื่องช้ากว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าการเจรจา Brexit จะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง หลังจากธนาคารอังกฤษมีมติคงอัตราดอกเบี้ย โดยหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 1.6% หุ้นลอยด์ แบงกิ้ง ปรับตัวลง 1.5% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ร่วงลง 1.9% หุ้นบาร์เคลย์ส ปรับตัวลง 0.5% และหุ้นรอยัล แบงก์ ออฟ สก็อตแลนด์ ร่วงลง 1.1%
หุ้นสกาย ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์รายใหญ่ของยุโรป ร่วงลง 1.8% หลังจากมีรายงานว่า วอลท์ ดิสนีย์ ได้เข้าซื้อธุรกิจส่วนใหญ่ในทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ในข้อตกลงวงเงินมากกว่า 5.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในรูปหุ้น โดยภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ดิสนีย์จะได้ครอบครอง เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิค, สตาร์ทีวี, สตูดิโอภาพยนตร์ของฟ็อกซ์, หุ้นในสกาย รวมทั้งเครือข่ายกีฬาในภูมิภาค
ส่วนข้อมูลที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักรพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยยอดค้าปลีกดังกล่าว รวมถึงยอดขายในวัน Black Friday ซึ่งตรงกับวันที่ 24 พ.ย.