ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (15 ธ.ค.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีต่างก็ปิดทำนิวไฮ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยมาตรการปฏิรูปภาษีของพรรครีพับลิกัน โดยนักลงทุนส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกว่า คณะทำงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะสามารถผลักดันร่างกฎหมายดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้ได้สำเร็จ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,651.74 จุด เพิ่มขึ้น 143.08 จุด หรือ +0.58% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,675.81 จุด เพิ่มขึ้น 23.80 จุด หรือ +0.90% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,936.58 จุด เพิ่มขึ้น 80.06 จุด หรือ +1.17%
นักลงทุนจับตาพรรครีพับลิกันซึ่งเตรียมเปิดเผยร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายที่ผ่านการรวมเนื้อหาของร่างกฎหมายของวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรในวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่สื่อต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีดังกล่าวจะปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในปีหน้า แทนที่จะชะลอออกไปอีก 1 ปีตามร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของวุฒิสภา
ด้านนายออร์ริน แฮทช์ ประธานคณะกรรมาธิการภาษีประจำวุฒิสภาสหรัฐ กล่าวว่า วุฒิสภาจะลงมติในวันที่ 18 ธ.ค.ต่อร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีขั้นสุดท้ายฉบับดังกล่าว และจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติในวันที่ 19 ธ.ค.
ก่อนหน้านี้ตลาดได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า ร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีของคณะทำงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจต้องเผชิญกับอุปสรรคหลังจากนายรูบิโอ และนายไมค์ ลี สองวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับลิกันได้เปิดเผยกับแกนนำวุฒิสภาเมื่อวานนี้ว่า พวกเขาจะไม่ลงมติสนับสนุนร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับผสมนี้ หากไม่มีการเพิ่มวงเงินในการลดหย่อนภาษีสำหรับการสงเคราะห์บุตร โดยที่ผ่านมานั้น นายรูบิโอและนายลีได้พยายามผลักดันให้ครอบครัวชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย สามารถรับประโยชน์จากมาตรการลดหย่อนภาษีให้มากที่สุด
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้นกว่า 1% โดยได้แรงหนุนจากความหวังที่ว่า ภาคธนาคารจะได้ประโยชน์มากที่สุดจากร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีฉบับนี้ ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสุขภาพ ทะยานขึ้น 1.24% และ 1.17% ตามลำดับ
หุ้นอะโดบี พุ่งขึ้น 1.4% ขณะที่หุ้นคอสท์โค โฮลเซล พุ่งขึ้น 3.3% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดเมื่อวานนี้
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องกีฬาชั้นนำ พุ่งขึ้น 9.4% หลังจากบริษัทประกาศเป็นพันธมิตรกับทีมแคนาดา จนถึงปี 2567
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุด ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รายงานว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ปรับตัวลงสู่ระดับ 18.0 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 19.4 ในเดือนพ.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน แต่ยังได้แรงหนุนจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง และการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก