ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์กดาวโจนส์ปิดบวก 55.64 จุด รับหุ้นพลังงานพุ่ง, GDP สหรัฐขยายตัวแข็งแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday December 22, 2017 06:38 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 ธ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร รวมทั้งรายงานข่าวที่ว่า บริษัทหลายแห่งได้ประกาศเพิ่มการลงทุนและเพิ่มค่าจ้างให้กับพนักงาน หลังจากสภาคองเกรสมีมติผ่านร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ของสหรัฐที่ขยายตัวแข็งแกร่งสุดในรอบ 2 ปี

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,782.29 จุด เพิ่มขึ้น 55.64 จุด หรือ +0.23% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,684.57 จุด เพิ่มขึ้น 5.32 จุด หรือ +0.20% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,965.36 จุด เพิ่มขึ้น 4.40 จุด หรือ +0.06%

หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 3.3% หุ้นเฮสส์ คอร์ป ทะยานขึ้น 5.3% และหุ้นมาราธอน ออยล์ พุ่งขึ้น 4.5% โดยหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดตลาดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ จากรายงานที่ว่า สต็อกน้ำมันดิบของปรับตัวลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5

หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นเช่นกัน นำโดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.3% ขณะที่หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ปรับตัวขึ้น 1.6%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่บริษัทหลายแห่งประกาศว่าจะนำเม็ดเงินที่ประหยัดได้จากมาตรการปรับลดภาษีไปลงทุนเพิ่มขึ้น รวมทั้งเพิ่มค่าจ้าง และจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงาน หลังสภาคองเกรสให้การรับรองร่างกฎหมายปฏิรูปภาษี ก่อนที่จะส่งต่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เพื่อลงนามให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย โดยบริษัทดังกล่าวรวมถึง เอ็นบีซี ยูนิเวอร์แซล, คอมแคสต์, โบอิ้ง, เอทีแอนด์ที และเวลส์ ฟาร์โก

สำหรับร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีนั้น ครอบคลุมถึงการปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงสู่ระดับ 21% จากระดับ 35% โดยมีผลบังคับใช้ทันทีในวันที่ 1 ม.ค.ปีหน้า โดยร่างกฎหมายดังกล่าวถือเป็นการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ที่สุดของสหรัฐนับตั้งแต่ปี 2529 หรือกว่า 30 ปี และจะถือเป็นชัยชนะครั้งแรกของปธน.ทรัมป์และพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรส นับตั้งแต่ที่ปธน.ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายของ GDP ประจำไตรมาส 3 โดยระบุว่า GDP ขยายตัวที่ระดับ 3.2% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2557 และดีดตัวขึ้นจากไตรมาส 2 ซึ่งมีการขยายตัว 3.1%

ด้านธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยว่า ดัชนีการผลิตเบื้องต้นดีดตัวขึ้น สู่ระดับ 26.2 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 22.7 ในเดือนพ.ย. โดยข้อมูลดังกล่าวช่วยหนุนตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นเช่นกัน

นักลงทุนจับตาสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติร่างกฎหมายงบประมาณระยะสั้น ก่อนถึงเส้นตายที่รัฐบาลจะขาดงบประมาณในการบริหารประเทศภายในเวลาเที่ยงคืนของวันนี้ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งจะทำให้ต้องมีการปิดหน่วยงานของรัฐบาล โดยหากสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาให้การอนุมัติต่องบประมาณดังกล่าว และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามรับรองเป็นกฎหมายได้ทันในวันนี้ ก็จะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณในการใช้จ่ายจนถึงวันที่ 19 ม.ค.ปีหน้า

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ