ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนลบเมื่อวันศุกร์ (22 ธ.ค.) ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนถึงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,754.06 จุด ลดลง 28.23 จุด หรือ -0.11% ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 6,959.96 จุด ลดลง 5.40 จุด หรือ -0.08% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,683.34 จุด ลดลง 1.23 จุด หรือ -0.05%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อวันศุกร์เป็นไปอย่างเงียบเหงา ด้วยปริมาณการซื้อขายต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ในรอบปีนี้ เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ชะลอการเทรดก่อนวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
ส่วนภาพรวมในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 0.4% ขณะที่ดัชนี Nasdaq และ S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.4% โดยเป็นการปรับตัวขึ้น 5 สัปดาห์ติดต่อกันของทั้งดาวโจนส์และ S&P 500
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐได้แรงหนุนจากความสำเร็จในการผลักดันร่างกฎหมายปฏิรูประบบภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์และพรรครีพับลิกัน หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 224 ต่อ 201 เสียง และวุฒิสภาลงมติอนุมัติด้วยคะแนนเสียง 51 ต่อ 48 เสียง โดยเมื่อวานนี้ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามรับรองเพื่อบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างเป็นทางการในเดือนม.ค.ปีหน้า
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนพ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนต.ค.
ขณะที่การใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค.
หากมีการปรับค่าตามเงินเฟ้อ การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. หลังจากทรงตัวในเดือนต.ค.
ส่วนรายได้ส่วนบุคคลของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค.
ขณะที่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนพ.ย. หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนต.ค.
และยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐพุ่งขึ้นสวนทางคาดการณ์ในเดือนพ.ย. โดยดีดตัวขึ้น 17.5% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 733,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2550 หลังจากแตะระดับ 624,000 ยูนิตในเดือนต.ค.
หุ้นจดทะเบียนรายใหญ่ที่น่าจับตา หุ้นไนกี้ อิงค์ ร่วงลง 2.3% หลังแบรนด์อุปกรณ์กีฬาชั้นนำของโลกรายนี้เปิดเผยรายงานยอดขายผลิตภัณฑ์ในอเมริกาเหนือที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ถึงแม้บริษัทจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ของปีงบการเงินปัจจุบันที่ระดับ 767 ล้านดอลลาร์ หรือ 46 เซนต์/หุ้น ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดก็ตาม
หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ขยับลง 0.2% หลังเอริก ชมิดต์ อดีตซีอีโอของกูเกิล เปิดเผยว่าเขาเตรียมจะก้าวลงจากเก้าอี้ประธานบริหารของบริษัทอัลฟาเบทในเดือนม.ค.ปีหน้า