ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มรถยนต์ดีดตัวขึ้น ขานรับรายงานยอดขายรถยนต์ในสหรัฐที่ออกมาดีเกินคาด
ดัชนี Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.9% ปิดที่ 393.68 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย.
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,167.89 จุด พุ่งขึ้น 189.68 จุด หรือ +1.46% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,413.69 จุด เพิ่มขึ้น 82.41 จุด หรือ +1.55% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,695.88 จุด เพิ่มขึ้น 24.77 จุด หรือ +0.32%
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเมื่อคืนนี้ เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในอิหร่าน และรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ปรับตัวลดลงมากกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว โดยหุ้นบีพี หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ต่างก็ปรับตัวขึ้น 1.1% ขณะที่หุ้นทุลโลว์ ออยล์ พุ่งขึ้น 2.1% และหุ้นโททาล เพิ่มขึ้น 2%
ส่วนหุ้นกลุ่มรถยนต์ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นเฟียต ไครส์เลอร์ ออโตโมบิลส์ ทะยานขึ้น 8.4% หุ้นเรโนลท์ ดีดตัวขึ้น 1.3% และหุ้นเดมเลอร์ พุ่งขึ้น 1.2%
หุ้นวิตเบรด ซึ่งเป็นเจ้าของเชนร้านกาแฟคอสตา คอฟฟีและเครือโรงแรมพรีเมียร์ อินน์ ขยับขึ้น 0.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า นายอดัม โครซิเออร์ จะดำรงตำแหน่งประธานกลุ่มบริษัทแทนนายริชาร์ด เบเกอร์ ที่จะก้าวลงจากเก้าอี้บอร์ดบริหารในวันที่ 28 ก.พ.
นอกจากนี้ การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปให้เป็นไปอย่างคึกคัก โดยดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กทำสถิติพุ่งทะลุแนว 25,000 จุดเป็นครั้งแรกเมื่อคืนนี้ ขานรับตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาด ขณะที่ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีเมื่อวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม หุ้นแอร์ฟรานซ์-เคแอลเอ็ม ร่วงลง 1.9% หลังจากสหภาพนักบินของแอร์ฟรานซ์ขู่ว่าจะผละงานประท้วงในวันที่ 11 ม.ค.นี้ จนกว่าฝ่ายบริหารของแอร์ฟรานซ์จะยอมรับข้อเรียกร้องของทางสหภาพ