ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบเมื่อคืนนี้ (15 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อรายงานข่าวที่ว่า คาริลเลียน บริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจก่อสร้างของอังกฤษ ได้ประกาศล้มละลาย และเข้าสู่กระบวนการขอยกเลิกกิจการและชำระบัญชี เนื่องจากรัฐบาลปฏิเสธที่จะอัดฉีดเงินช่วยเหลือบริษัท
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,769.14 จุด ลดลง 9.50 จุด หรือ -0.12%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข่าวการล้มละลายของบริษัทคาริลเลียนซึ่งประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก โดยมีหนี้สินมากถึง 1.5 พันล้านปอนด์ ขณะที่รัฐบาลอังกฤษปฏิเสธที่จะอัดฉีดเงินช่วยเหลือบริษัท โดยระบุว่ารัฐบาลไม่สามารถนำเงินภาษีอากรของประชาชนมาช่วยเหลือบริษัทเอกชน แต่ในระหว่างนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนเงินทุนที่จำเป็นเพื่อให้การบริการที่เกี่ยวข้องในภาครัฐสามารถดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ คาริลเลียนเป็นบริษัทเก่าแก่ที่มีอายุยาวนานถึง 200 ปี โดยทำธุรกิจก่อสร้างนับตั้งแต่โรงพยาบาลไปจนถึงทางรถไฟ ขณะที่มีพนักงานทั่วโลก 43,000 คน โดยอยู่ในอังกฤษ 20,000 คน
หุ้นคาริลเลียนร่วงลงเกือบ 29% ส่วนราคาหุ้นบริษัทคู่แข่งของคาริลเลียนปรับตัวผันผวน โดยหุ้นบัลฟอร์ บีทตี้ ดิ่งลง 3.3% ขณะที่หุ้น G4S ดีดตัวขึ้น 1.1% และหุ้นเซอร์โค กรุ๊ป พุ่งขึ้น 7.4%
หุ้นสปีดดี้ ไฮร์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดหาเครื่องมือ และให้บริการสำหรับบริษัทก่อสร้าง ร่วงลงกว่า 5% โดยได้รับผลกระทบจากข่าวการล้มละลายของบริษัทคาริลเลียน เนื่องจากคาริลเลียนเป็นหนึ่งในลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของสปีดดี้ ไฮร์ ขณะที่นักลงทุนวิตกว่าการล้มละลายของคาริลเลียนจะกระทบสถานะการเงินของสปีดดี้ ไฮร์
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง โดยหุ้นเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ ปรับตัวลง 0.9% หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ร่วงลง 2%
สำหรับปัจจัยที่ฉุดรั้งหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงนั้น มาจากรายงานข่าวที่ว่า คณะกรรมการกำกับดูแลภาคธนาคารของจีน (CBRC) เตรียมออกกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นในภาคธนาคารในปีนี้ เพื่อลดความเสี่ยงทางการเงิน โดยมาตรการสำคัญลำดับแรกสุด ได้แก่ การกำกับดูแลธนาคารเงา และการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้จะเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมความเสี่ยงในกิจกรรมอินเทอร์แบงก์ ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และธุรกิจนอกงบดุล (Off-Balance Sheet) ที่ปล่อยกู้ให้กับผู้ที่มีเครดิตต่ำ