ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงิน ซึ่งรวมถึงหุ้นโกลด์แมน แซคส์ และอเมริกัน เอ็กซ์เพรส อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ หลังจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ ได้กล่าวออกมาส่งสัญญาณว่า สหรัฐอาจใช้มาตรการเพื่อตอบโต้จีนในเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งรวมถึงสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,252.12 จุด เพิ่มขึ้น 41.31 จุด หรือ +0.16% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,415.06 จุด ลดลง 45.23 จุด หรือ -0.61% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,837.54 จุด ลดลง 1.59 จุด หรือ -0.06%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดในแดนบวก หลังจากหุ้นกลุ่มการเงินดีดตัวขึ้น โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.15% หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ปรับตัวขึ้น 1.4% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค เพิ่มขึ้น 1.3% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 1.1% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับตัวขึ้น 0.5%
หุ้นคอมแคสต์ พุ่งขึ้น 1.3% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2560 อยู่ที่ระดับ 49 เซนต์ ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 47 เซนต์ ขณะที่รายได้อยู่ที่ระดับ 2.192 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.182 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส พุ่งขึ้น 4.20% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรปี 2560 ที่สูงเกินคาด พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2561
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวนเมื่อคืนนี้ เนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้ฉุดดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดในแดนลบ โดยหุ้นแอปเปิล ร่วงลง 1.6% หลังจากหน่วยงานของสหภาพยุโรป (EU) สั่งปรับบริษัทควอลคอม อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิพสำหรับสมาร์ทโฟน เป็นจำนวนเงิน 997 ล้านยูโร (1.23 พันล้านดอลลาร์) หลังจากการสอบสวนพบว่า ควอลคอมได้จ่ายเงินแก่บริษัทแอปเปิล อิงค์ เพื่อให้แอปเปิลใช้ชิพของควอลคอมเท่านั้น แทนที่จะใช้ชิพของบริษัทคู่แข่ง ซึ่งถือเป็นการกีดกันการค้าในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ทั้งนี้ ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นควอลคอม ปิดลบ 0.5%
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นอเมซอน ปรับตัวลง 0.4% หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 1.5% หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ลดลง 0.4%
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันหลังจากนายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐได้ขึ้นกล่าวที่ประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอสเมื่อวานนี้ว่า หน่วยงานด้านการค้าของสหรัฐกำลังตรวจสอบพฤติกรรมกีดกันการค้าและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของจีน ซึ่งรวมถึงสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี และกำลังพิจารณาว่าควรใช้มาตรการตอบโต้หรือไม่
ทั้งนี้ การแสดงความเห็นของนายรอสส์ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า ข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนอาจทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเครื่องซักผ้าและแผงพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมาตรการดังกล่าวจะช่วยปกป้องผู้ผลิตในสหรัฐ แต่จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตจากจีน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดและมีผลต่อภาวะการซื้อขายในตลาดเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองร่วงลง 3.6% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.57 ล้านยูนิต ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 2.2% สู่ระดับ 5.70 ล้านยูนิต ทางด้านไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ร่วงลงแตะระดับ 53.8 ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน จากระดับ 54.1 ในเดือนธ.ค. นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ม.ค.นี้ เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนธ.ค., ยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนธ.ค. และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2560