ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (24 ม.ค.) หลังจากเงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทข้ามชาติ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,643.43 จุด ลดลง 88.40 จุด หรือ -1.14%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดปรับตัวลง เนื่องจากการแข็งค่าของเงินปอนด์ได้สร้างแรงกดดันต่อหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การแข็งค่าของเงินปอนด์จึงส่งผลกระทบต่อหุ้นของบริษัทเหล่านี้
ปัจจัยที่ทำให้สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐนั้น มาจากการที่นายนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้กล่าวในการแถลงข่าวในการประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรั่ม (WEF) ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เมื่อวานนี้ว่า การที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะนี้ เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ เงินปอนด์ยังแข็งค่าขึ้น จากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า กระบวนการที่อังกฤษจะแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) จะดำเนินไปอย่างราบรื่น หลังจากสภาสามัญชนของอังกฤษ (House of Commons) มีมติผ่านร่างกฎหมาย Brexit ก่อนที่จะส่งต่อไปยังสภาขุนนางของอังกฤษ (House of Lords) เพื่อทำการพิจารณาต่อไป โดยร่างกฎหมาย Brexit มีวัตถุประสงค์เพื่อตัดความสัมพันธ์ทางด้านการเมือง การเงิน และด้านกฎหมาย กับทางสหภาพยุโรป หุ้นอันโตฟากัสตา ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองรายใหญ่ ปรับตัวลง 0.8% หลังจากอันโตฟากัสตาเปิดเผยว่า บริษัทผลิตทองแดงได้ 177,800 ตัน ในไตรมาส 4 ปี 2560 ซึ่งลดลง 1.3% จากไตรมาสก่อนหน้า และผลิตทองคำได้ 40,500 ออนซ์ ลดลง 32% จากไตรมาสก่อนหน้า
ทั้งนี้ อันโตฟากัสตาระบุถึงสาเหตุที่ทำให้ผลผลิตทองคำลดลงในไตรมาสที่ผ่านมาว่า เป็นเพราะเกรดทองคำที่ลดลง และอัตราส่วนการเก็บแร่ที่ลดลงของเหมือง Centinela ในประเทศชิลี
หุ้นเซจ กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านธุรกิจของอังกฤษ ร่วงลง 6.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายที่ต่ำกว่าการคาดการณ์
ส่วนหุ้นเฟรสนิลโล ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองอีกแห่งหนึ่งนั้น พุ่งขึ้น 3.7% หลังจากบริษัทเปิดเผยว่า การผลิตโละหะเงินในไตรมาส 4/2560 เพิ่มขึ้น 20%