ดัชนีดาวโจนส์ยังคงปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องในวันนี้ ล่าสุดดิ่งลงกว่า 100 จุด จากการที่นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ย หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้ นักลงทุนยังซื้อขายอย่างระมัดระวัง ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสในวันที่ 30 ม.ค.เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าของวันที่ 31 ม.ค.เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย
ณ เวลา 22.45 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 26,497.32 จุด ลดลง 119.39 จุด หรือ 0.45%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและพลังงานดิ่งลงนำตลาดวันนี้
นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้น หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทะยานขึ้นอย่างมากในวันนี้ จากการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง และเงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้น
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 2.716% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2557 หลังจากที่แตะระดับ 2.430% ในช่วงสิ้นปีที่แล้ว
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 2.954% ในวันนี้
การอ่อนค่าของดอลลาร์ในเดือนนี้ ช่วยหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดีดตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนวิตกว่าจะเป็นปัจจัยลดอุปสงค์พันธบัตร ขณะที่กระตุ้นเงินเฟ้อ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปี พุ่งทะลุระดับ 2.7% ในวันนี้ จะเป็นการปูทางไปสู่ระดับ 2.8% ต่อไป ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 30 ปี มีแนวโน้มดีดตัวสู่ระดับ 3.0%
ตลาดการเงินเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ จากการคาดการณ์การดีดตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการขยายตัวมากขึ้น
CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 26% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 23% ในวันศุกร์ และ 10% ในเดือนที่แล้ว
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนธ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.5% เช่นกันในเดือนพ.ย.
นอกจากนี้ การซื้อขายในวันนี้ยังถูกกดดันจากการร่วงลงเกือบ 2% ของหุ้นแอปเปิล หลังสื่อตีข่าวบริษัทเตรียมปรับลดยอดขาย iPhone X
ทั้งนี้ สำนักข่าวนิกเกอิของญี่ปุ่นรายงานว่า บริษัทแอปเปิล อิงค์ได้แจ้งซัพพลายเออร์ว่า ทางบริษัทจะปรับลดเป้าการผลิต iPhone X สำหรับไตรมาสแรกในปีนี้ลงครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 20 ล้านเครื่อง เนื่องจากยอดขายที่ต่ำกว่าคาดในยุโรป สหรัฐ และจีน
อย่างไรก็ดี คาดว่าแอปเปิลจะยังคงเป้าการผลิต iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone 7 ที่ระดับ 30 ล้านเครื่อง
ราคาหุ้นแอปเปิล อิงค์ร่วงลงอย่างหนักในช่วงปลายปีที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์อีโคโนมิค เดลี่ ของไต้หวันที่ว่า ยอดขายของ iPhone X จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากที่มีการเปิดตัวในเดือนพ.ย.
อีโคโนมิค เดลี่รายงานว่า แอปเปิลจะปรับลดตัวเลขคาดการณ์ยอดขาย iPhone X ในไตรมาสแรก สู่ระดับ 30 ล้านเครื่อง จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 50 ล้านเครื่อง
ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันที่ร่วงลงเกือบ 1% ก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ฉุดตลาดในการซื้อขายวันนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังซื้อขายอย่างระมัดระวัง ก่อนการแถลงนโยบายประจำปีของปธน.ทรัมป์
ทั้งนี้ การแถลงนโยบายประจำปีของปธน.ทรัมป์ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเข้ารับตำแหน่งในปีที่แล้ว โดยจะมีการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ต่อชาวสหรัฐทั่วประเทศ ขณะที่สำนักข่าว CNN ก็จะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลก
หัวข้อการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสของปธน.ทรัมป์คือ "การสร้างอเมริกาที่ปลอดภัย แข็งแกร่ง และน่าภาคภูมิใจ" โดยจะเน้นหนักใน 5 ประเด็นหลัก ซึ่งได้แก่ การจ้างงานและเศรษฐกิจ, การก่อสร้างโครงการพื้นฐานของประเทศ, นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ, การค้า และความมั่นคงแห่งชาติ
คาดว่าปธน.ทรัมป์จะเกริ่นนำด้วยการกล่าวถึงความสำเร็จในการบริหารประเทศของเขาในปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง ขณะตลาดหุ้นทะยานขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการผลักดันจากมาตรการปรับลดภาษี และการปรับลดกฎระเบียบต่างๆ
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์จะเปิดเผยโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐตามที่เขาได้เคยรณรงค์หาเสียงในปี 2559 โดยคาดว่า โครงการลงทุนในสาธารณูปโภคจะมีวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 4 กองทุนในช่วงเวลา 10 ปี
ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังจัดทำแผนการลงทุนวงเงิน 1.35 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะให้รัฐบาลของมลรัฐ และภาคเอกชนเข้าสนับสนุนเงินทุนในการสร้างและซ่อมสะพาน, ทางหลวง และสาธารณูปโภคทั่วประเทศ